การทุ่มเทในการทำงาน
การทุ่มเทในการทำงานเพื่อให้การทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้น จะว่ายากก็ยาก
แต่จะว่าง่ายก็ง่ายอีกเหมือนกัน เพียงแต่เราต้องรู้จักเคล็ดลับง่ายๆ
ในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ
รวมทั้งต้องมีการพัฒนาศักยภาพและความสามารถของตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ
จากหนังสือ “เคล็ดลับการบริหารของวอร์เรน
ปัฟเฟ็ตต์” ของสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์
ซึ่งเขียนขึ้นมาเพื่อเผยแพร่เครื่องมือสู่ความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวและการงานของอัจฉริยะ
นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งคนทำงานระดับพนักงานอย่างเราๆ ท่านๆ
สามารถนำข้อมูลไปปรับใช้กับชีวิตการทำงานได้เป็นอย่างดี
และนี่คือเคล็ดลับส่วนหนึ่งที่วอร์เรน ปัฟเฟ็ตต์
ได้บอกเล่าเอาไว้ว่าทำอย่างไรคุณถึงจะเป็นคนทำงานที่พบกับความสำเร็จได้ไม่ยาก
ทำงานที่คุณรัก
วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ บอกว่า บ่อยครั้งความรวยทำให้คนเราต้องทนทำงาน หรือมีอาชีพที่ตนเองไม่ชอบ
และก็ต้องทนอยู่กับมันวันแล้ววันเล่า
เพียงเพื่อหลอกตัวเองให้เชื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้ทำในสิ่งที่เราฝันอยากจะทำ
แต่ตอนนี้เรากำลังใช้ชีวิตที่น่าเบื่อและต้องทนทุกข์กับการทำงานเพื่อเงินเพียงเหตุผลเดียวก็คือ
ความจำเป็น
แต่วอร์เรนนั้นเชื่อว่า การไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก
หรือทำให้การงานเป็นสิ่งที่น่าเบื่อนั้น คอยแต่จะฉุดเราให้แย่ลง
และทำลายจิตวิญญาณของเรา และแม้ว่างานนั้นจะทำเงินได้มากมายก็ตามแต่
หากต้องอยู่กับงานที่ไม่ชอบถึงวันละ ๙ ชั่วโมง ก็เป็นเรื่องที่ไม่สนุกเอาเสียเลย
ในโลกของการทำงาน
ผู้ที่สามารถประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือผู้ที่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก
เงินไม่ใช่แรงผลักดันเสมอไป แต่สิ่งเดียวที่ผลักดันให้งานประสบความสำเร็จก็คือ
ความรักในสิ่งที่ทำ
ความหมกมุ่น
ความหมกมุ่นที่ว่านี้ วอร์เรน บอกว่า คือการหมกมุ่นอยู่กับงาน
เพราะผู้บริหารหรือพนักงานที่จะประสบกับความสำเร็จได้
ก็คือคนที่คิดถึงแต่งานหรือธุรกิจตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า และฝันถึงงานในตอนกลางคืน
อย่างที่เขาบอกว่า “ความหมกมุ่นคือ ค่างวดของความสมบูรณ์แบบ”
และความหมกมุ่นนี่แหละที่วอร์เรนพยายามมองหาในตัวพนักงาน
หากเขาสามารถถามผู้ที่มาสัมภาษณ์งานได้คำถามเดียวคำถามนั้นคือ
พวกเขาหมกมุ่นกับสิ่งที่กำลังทำอยู่แค่ไหน? เพราะในโลกของวอร์เรนนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณฉลาดแค่ไหน
แต่อยู่ที่เราหมกมุ่นเพียงใด เรารักในสิ่งที่ทำอยู่แค่ไหน และถ้าหากเราบังเอิญฉลาดด้วยแล้วก็ยิ่งวิเศษราวกับน้ำตาลบนขนมเค้กที่แสนอร่อยทีเดียว
พลังของความซื่อสัตย์
วอร์เรน บอกเอาไว้ในหนังสือว่า
ผู้บริหารหรือพนักงานที่มีความซื่อสัตย์กับผู้อื่น
เมื่อทำสิ่งผิดพลาดก็มักจะเรียนรู้จากความผิดพลาดมากกว่า ในขณะที่ผู้บริหารหรือพนักงานที่มักจะเมินเฉยกับความผิดพลาดของตนหรือพยายามโทษผู้อื่น
หรือสิ่งอื่นเมื่อทำผิดพลาด มักจะโกหกตัวเองในสิ่งสำคัญอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
วอร์เรนพบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับงานบัญชี และเชื่อว่าความตั้งใจในการปรับแต่งตัวเลขจำนวนหนึ่งจะนำไปสู่การปรับแต่งตัวเลขทั้งหมดในที่สุด
“เราเชื่อด้วยว่าความตรงไปตรงมาเป็นประโยชน์กับเราในฐานะผู้บริหาร
ซีอีโอที่หลอกลวงผู้อื่นในที่สาธารณะจะหลอกตัวเองในที่รโหฐานด้วยเช่นกันในที่สุด”
ทุกคนพลาดได้ – ยอมรับซะ
วอร์เรนเชื่อว่าเมื่อทำผิดพลาด
คนเราต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยการยอมรับโดยเร็วและหนักแน่น
หาไม่แล้วคนจะรู้สึกว่าเรากำลังพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง ขี้ขลาด
หรือไม่มีความซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับว่าเราทำผิด
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้คนไม่ไว้วางใจในตัวเรา ไม่มีใครที่ทนกับผู้ที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอได้และก็ไม่มีใครที่ทนกับคนที่ไม่ยอมรับว่าตนผิดได้
คนจะมีความรู้สึกว่า ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับผิดทั้งที่ผิด
มีอะไรอื่นอีกหรือไม่ที่พวกเขาโกหก?
วอร์เรนจะเผชิญหน้ากับความผิดทุกอย่างที่เขาทำเสมอ
เขาจะยอมรับกับผู้บริหารเมื่อเขาพลาด
และจะเป็นคนแรกที่ยอมรับกับผู้ถือหุ้นด้วยว่าเขาไปแล้ว
จัดการกับความผิดพลาด
ไม่มีใครที่จะดีและสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง รวมทั้งวอร์เรนด้วย
ความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น
สิ่งที่จะต้องจำไว้ก็คือความสำเร็จในชีวิตของเราจะต้องมากกว่าความผิดพลาด
ถ้าสมการนี้พลิกกลับเป็นอีกแบบแล้วละก็ ชีวิตคุณมีปัญหาแน่
วิธีจัดการกับความผิดพลาดของวอร์เรนทำให้เขาแตกต่างจากคู่แข่ง
เพราะเขาจะเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ไม่จมกับมัน
คนที่จมกับความผิดพลาดเสียทั้งเวลา เสียทั้งพลังงาน ที่นำไปใช้หาวิธีใหม่ๆ
ในการทำเงิน หรือสนุกกับชีวิตเสียยังดีกว่า
ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของอดีต
และนอกจากว่าเราจะจำเป็นบทเรียนไว้แล้ว วอร์เรนบอกว่าสิ่งที่เหลือควรทิ้งไว้ในอดีต
เพราะเงินที่เราจะได้ล้วนอยู่ในอนาคตทั้งสิ้น
นี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ
ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ไม่ยาก เชื่อเถอะ
การทำงานหรือการใดๆที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยองค์ประกอบหลายประการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงานนั้น
ประสบการณ์ของผู้ทำงานนั้น และจำนวนผู้ร่วมงานนั้น
แต่งานใดๆก็แล้วแต่ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบพี้นฐาน
4 ประการด้วยกันคือ
๑. ฉันทะ
ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
สี่องค์ประกอบพื้นฐานนี้
ทางพุทธศาสนาเรียกว่า อิทธิบาท 4 แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ
แต่องค์ประกอบเหล่านี้เป็น
องค์ประกอบภายในจิตใจของผู้ทำงานนั้นๆ
ซึ่งแต่ละคนก็จะมี 4 ตัวนี้มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่สภาวะจิตใจในขณะนั้น
และเป้าหมายของการทำงานในขณะนั้น
นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบภายนอกที่เป็นปัจจัยต่อความสำเร็จของงานใดๆ
อีกมากมาย สรุปรวมได้เป็น
1 input ของงาน หรือวัตถุดิบ
2 process ของงาน
หรือกระบวนการขั้นตอนการทำงาน
3 ปัจจัยภายนอกอื่นๆนอกเหนือการควบคุม
ดังนั้นการทำงานใดๆหรือการใดจะประสบความสำเร็จได้นั้นผู้ทำงานนั้นต้องมีองค์ประกอบภายใน
ครบทั้ง 4 สิ่ง จึงจะทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จได้
แต่จะต้องใช้หรือมีตัวไหนมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับงานนั้นๆ
ใครที่คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เท่าที่ควร หรือล้มเหลวเมื่อปีที่ผ่านมา อย่าเพิ่งท้อ ลองค้นหาจุดบกพร่องของตัวเอง
แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมทั้งหาเทคนิควิธีการใหม่ๆมาปรับใช้ในการทำงาน
ซึ่งก็มีเทคนิคในการทำงานดีๆที่เรียกว่า
คาถา 6
P มาฝาก
1. P-Positive
Thinking
คือ
การมีทัศนคติที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ไม่คิดในทางลบ เช่น
หากเจอปัญหาในการทำงาน แทนที่จะนั่งกลุ้มใจ คิดว่าคราวนี้ต้องแย่แน่ ก็ให้มองว่า
นี่เป็นหนทางหนี่งที่จะฝึกฝนให้เราเก่งกล้ามากยิ่งขึ้น
2. P-Peaceful
Mind
คือ
การมีจิตใจที่สงบ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “จงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” หรือเปล่า คำพูดนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว
เวลาเกิดปัญหาขึ้น เราอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับปัญหานั้น การมีจิตใจที่สงบ มีสมาธิ
จะทำให้เราเกิดปัญญา ในการคิดหา วิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้
ยังทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
3. P-Patient
คือ
การมีความอดทน คาถาข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อที่แล้ว เพราะการที่เราจะมีจิตที่สงบได้
เราต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ระงับอารมณ์ ความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆ หากสิ่งใดๆ
ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เราก็ต้องอดทนรอคอย ให้ถึงช่วงเวลาของเรา
นอกจากนี้ยังต้องอดทน ต่อปัญหาและความยากลำบากในการทำงานด้วย
4. P-Punctual
คือการเป็นคนตรงต่อเวลา
มนุษย์เราได้ถูกปลูกฝัง ให้เป็นคนมีวินัย รู้จักตรงต่อเวลามาตั้ง แต่ยังเป็นเด็ก
เช่น การไม่มาโรงเรียนสาย ส่งการบ้านให้ตรงเวลา ในการทำงานก็เช่นกัน
หากเรามาทำงานสาย เจ้านายคงไม่ชอบแน่ๆ แล้วยิ่งถ้าเราผิดนัดลูกค้า
ผลเสียคงตามมาอีกเป็นกระบุง แม้แต่เวลายังรักษาไม่ได้ เจ้านาย
หรือลูกค้าคงไม่ไว้ใจ ให้เราทำงานใดๆแล้วละ
5. P-Polite
คือ
การเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นคนสุภาพนอบน้อม จะทำให้มีแต่คนรักใคร่
และอยากช่วยเหลือ ยิ่งถ้าเรามีตำแหน่งใหญ่ โตด้วยแล้ว
ยิ่งต้องมีความสุภาพอ่อนน้อมเพราะจะทำให้ ผู้อื่นยิ่งเกรงใจเรามากขึ้น ตรงกันข้าม
การทำตัวกระด้างกระเดื่อง หยาบคาย หยิ่งยโส ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคม
และไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย
6.
P-Professional
คือ
ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน
การที่เรามีหน้าที่อะไร เราก็ควรทำตัวให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในหน้าที่นั้นๆ
หมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และหมั่นฝึกปรือฝีมือในการทำงานอยู่เสมอ
เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด การทำงานอย่างมืออาชีพ
จะเป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจของเจ้านาย รวมไปถึงลูกค้าที่ย่อมจะพอใจ และไว้วางใจ
ให้เราดูแลงานของเขาต่อไป
คาถา 6 P ที่นำมาฝากนี้ อยากให้นำไปปฏิบัติให้เป็นนิสัย
รับรองว่ามันจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ คุณประสบความ สำเร็จ
ในหน้าที่การ งานอย่างแน่นอน
การทุ่มเทในการทำงานเพื่อให้การทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้น จะว่ายากก็ยาก
แต่จะว่าง่ายก็ง่ายอีกเหมือนกัน เพียงแต่เราต้องรู้จักเคล็ดลับง่ายๆ
ในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ
รวมทั้งต้องมีการพัฒนาศักยภาพและความสามารถของตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ
จากหนังสือ “เคล็ดลับการบริหารของวอร์เรน
ปัฟเฟ็ตต์” ของสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์
ซึ่งเขียนขึ้นมาเพื่อเผยแพร่เครื่องมือสู่ความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวและการงานของอัจฉริยะ
นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งคนทำงานระดับพนักงานอย่างเราๆ ท่านๆ
สามารถนำข้อมูลไปปรับใช้กับชีวิตการทำงานได้เป็นอย่างดี
และนี่คือเคล็ดลับส่วนหนึ่งที่วอร์เรน ปัฟเฟ็ตต์
ได้บอกเล่าเอาไว้ว่าทำอย่างไรคุณถึงจะเป็นคนทำงานที่พบกับความสำเร็จได้ไม่ยาก
ทำงานที่คุณรัก
วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ บอกว่า บ่อยครั้งความรวยทำให้คนเราต้องทนทำงาน หรือมีอาชีพที่ตนเองไม่ชอบ
และก็ต้องทนอยู่กับมันวันแล้ววันเล่า
เพียงเพื่อหลอกตัวเองให้เชื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้ทำในสิ่งที่เราฝันอยากจะทำ
แต่ตอนนี้เรากำลังใช้ชีวิตที่น่าเบื่อและต้องทนทุกข์กับการทำงานเพื่อเงินเพียงเหตุผลเดียวก็คือ
ความจำเป็น
แต่วอร์เรนนั้นเชื่อว่า การไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก
หรือทำให้การงานเป็นสิ่งที่น่าเบื่อนั้น คอยแต่จะฉุดเราให้แย่ลง
และทำลายจิตวิญญาณของเรา และแม้ว่างานนั้นจะทำเงินได้มากมายก็ตามแต่
หากต้องอยู่กับงานที่ไม่ชอบถึงวันละ ๙ ชั่วโมง ก็เป็นเรื่องที่ไม่สนุกเอาเสียเลย
ในโลกของการทำงาน
ผู้ที่สามารถประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือผู้ที่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก
เงินไม่ใช่แรงผลักดันเสมอไป แต่สิ่งเดียวที่ผลักดันให้งานประสบความสำเร็จก็คือ
ความรักในสิ่งที่ทำ
ความหมกมุ่น
ความหมกมุ่นที่ว่านี้ วอร์เรน บอกว่า คือการหมกมุ่นอยู่กับงาน
เพราะผู้บริหารหรือพนักงานที่จะประสบกับความสำเร็จได้
ก็คือคนที่คิดถึงแต่งานหรือธุรกิจตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า และฝันถึงงานในตอนกลางคืน
อย่างที่เขาบอกว่า “ความหมกมุ่นคือ ค่างวดของความสมบูรณ์แบบ”
และความหมกมุ่นนี่แหละที่วอร์เรนพยายามมองหาในตัวพนักงาน
หากเขาสามารถถามผู้ที่มาสัมภาษณ์งานได้คำถามเดียวคำถามนั้นคือ
พวกเขาหมกมุ่นกับสิ่งที่กำลังทำอยู่แค่ไหน? เพราะในโลกของวอร์เรนนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณฉลาดแค่ไหน
แต่อยู่ที่เราหมกมุ่นเพียงใด เรารักในสิ่งที่ทำอยู่แค่ไหน และถ้าหากเราบังเอิญฉลาดด้วยแล้วก็ยิ่งวิเศษราวกับน้ำตาลบนขนมเค้กที่แสนอร่อยทีเดียว
พลังของความซื่อสัตย์
วอร์เรน บอกเอาไว้ในหนังสือว่า
ผู้บริหารหรือพนักงานที่มีความซื่อสัตย์กับผู้อื่น
เมื่อทำสิ่งผิดพลาดก็มักจะเรียนรู้จากความผิดพลาดมากกว่า ในขณะที่ผู้บริหารหรือพนักงานที่มักจะเมินเฉยกับความผิดพลาดของตนหรือพยายามโทษผู้อื่น
หรือสิ่งอื่นเมื่อทำผิดพลาด มักจะโกหกตัวเองในสิ่งสำคัญอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
วอร์เรนพบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับงานบัญชี และเชื่อว่าความตั้งใจในการปรับแต่งตัวเลขจำนวนหนึ่งจะนำไปสู่การปรับแต่งตัวเลขทั้งหมดในที่สุด
“เราเชื่อด้วยว่าความตรงไปตรงมาเป็นประโยชน์กับเราในฐานะผู้บริหาร
ซีอีโอที่หลอกลวงผู้อื่นในที่สาธารณะจะหลอกตัวเองในที่รโหฐานด้วยเช่นกันในที่สุด”
ทุกคนพลาดได้ – ยอมรับซะ
วอร์เรนเชื่อว่าเมื่อทำผิดพลาด
คนเราต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยการยอมรับโดยเร็วและหนักแน่น
หาไม่แล้วคนจะรู้สึกว่าเรากำลังพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง ขี้ขลาด
หรือไม่มีความซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับว่าเราทำผิด
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้คนไม่ไว้วางใจในตัวเรา ไม่มีใครที่ทนกับผู้ที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอได้และก็ไม่มีใครที่ทนกับคนที่ไม่ยอมรับว่าตนผิดได้
คนจะมีความรู้สึกว่า ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับผิดทั้งที่ผิด
มีอะไรอื่นอีกหรือไม่ที่พวกเขาโกหก?
วอร์เรนจะเผชิญหน้ากับความผิดทุกอย่างที่เขาทำเสมอ
เขาจะยอมรับกับผู้บริหารเมื่อเขาพลาด
และจะเป็นคนแรกที่ยอมรับกับผู้ถือหุ้นด้วยว่าเขาไปแล้ว
จัดการกับความผิดพลาด
ไม่มีใครที่จะดีและสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง รวมทั้งวอร์เรนด้วย
ความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น
สิ่งที่จะต้องจำไว้ก็คือความสำเร็จในชีวิตของเราจะต้องมากกว่าความผิดพลาด
ถ้าสมการนี้พลิกกลับเป็นอีกแบบแล้วละก็ ชีวิตคุณมีปัญหาแน่
วิธีจัดการกับความผิดพลาดของวอร์เรนทำให้เขาแตกต่างจากคู่แข่ง
เพราะเขาจะเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ไม่จมกับมัน
คนที่จมกับความผิดพลาดเสียทั้งเวลา เสียทั้งพลังงาน ที่นำไปใช้หาวิธีใหม่ๆ
ในการทำเงิน หรือสนุกกับชีวิตเสียยังดีกว่า
ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของอดีต
และนอกจากว่าเราจะจำเป็นบทเรียนไว้แล้ว วอร์เรนบอกว่าสิ่งที่เหลือควรทิ้งไว้ในอดีต
เพราะเงินที่เราจะได้ล้วนอยู่ในอนาคตทั้งสิ้น
นี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ
ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ไม่ยาก เชื่อเถอะ
การทำงานหรือการใดๆที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยองค์ประกอบหลายประการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงานนั้น
ประสบการณ์ของผู้ทำงานนั้น และจำนวนผู้ร่วมงานนั้น
แต่งานใดๆก็แล้วแต่ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบพี้นฐาน
4 ประการด้วยกันคือ
๑. ฉันทะ
ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
สี่องค์ประกอบพื้นฐานนี้
ทางพุทธศาสนาเรียกว่า อิทธิบาท 4 แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ
แต่องค์ประกอบเหล่านี้เป็น
องค์ประกอบภายในจิตใจของผู้ทำงานนั้นๆ
ซึ่งแต่ละคนก็จะมี 4 ตัวนี้มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่สภาวะจิตใจในขณะนั้น
และเป้าหมายของการทำงานในขณะนั้น
นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบภายนอกที่เป็นปัจจัยต่อความสำเร็จของงานใดๆ
อีกมากมาย สรุปรวมได้เป็น
1 input ของงาน หรือวัตถุดิบ
2 process ของงาน
หรือกระบวนการขั้นตอนการทำงาน
3 ปัจจัยภายนอกอื่นๆนอกเหนือการควบคุม
ดังนั้นการทำงานใดๆหรือการใดจะประสบความสำเร็จได้นั้นผู้ทำงานนั้นต้องมีองค์ประกอบภายใน
ครบทั้ง 4 สิ่ง จึงจะทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จได้
แต่จะต้องใช้หรือมีตัวไหนมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับงานนั้นๆ
ใครที่คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เท่าที่ควร หรือล้มเหลวเมื่อปีที่ผ่านมา อย่าเพิ่งท้อ ลองค้นหาจุดบกพร่องของตัวเอง
แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมทั้งหาเทคนิควิธีการใหม่ๆมาปรับใช้ในการทำงาน
ซึ่งก็มีเทคนิคในการทำงานดีๆที่เรียกว่า
คาถา 6
P มาฝาก
1. P-Positive
Thinking
คือ
การมีทัศนคติที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ไม่คิดในทางลบ เช่น
หากเจอปัญหาในการทำงาน แทนที่จะนั่งกลุ้มใจ คิดว่าคราวนี้ต้องแย่แน่ ก็ให้มองว่า
นี่เป็นหนทางหนี่งที่จะฝึกฝนให้เราเก่งกล้ามากยิ่งขึ้น
2. P-Peaceful
Mind
คือ
การมีจิตใจที่สงบ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า “จงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว” หรือเปล่า คำพูดนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว
เวลาเกิดปัญหาขึ้น เราอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับปัญหานั้น การมีจิตใจที่สงบ มีสมาธิ
จะทำให้เราเกิดปัญญา ในการคิดหา วิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้
ยังทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
3. P-Patient
คือ
การมีความอดทน คาถาข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อที่แล้ว เพราะการที่เราจะมีจิตที่สงบได้
เราต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ระงับอารมณ์ ความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆ หากสิ่งใดๆ
ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เราก็ต้องอดทนรอคอย ให้ถึงช่วงเวลาของเรา
นอกจากนี้ยังต้องอดทน ต่อปัญหาและความยากลำบากในการทำงานด้วย
4. P-Punctual
คือการเป็นคนตรงต่อเวลา
มนุษย์เราได้ถูกปลูกฝัง ให้เป็นคนมีวินัย รู้จักตรงต่อเวลามาตั้ง แต่ยังเป็นเด็ก
เช่น การไม่มาโรงเรียนสาย ส่งการบ้านให้ตรงเวลา ในการทำงานก็เช่นกัน
หากเรามาทำงานสาย เจ้านายคงไม่ชอบแน่ๆ แล้วยิ่งถ้าเราผิดนัดลูกค้า
ผลเสียคงตามมาอีกเป็นกระบุง แม้แต่เวลายังรักษาไม่ได้ เจ้านาย
หรือลูกค้าคงไม่ไว้ใจ ให้เราทำงานใดๆแล้วละ
5. P-Polite
คือ
การเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นคนสุภาพนอบน้อม จะทำให้มีแต่คนรักใคร่
และอยากช่วยเหลือ ยิ่งถ้าเรามีตำแหน่งใหญ่ โตด้วยแล้ว
ยิ่งต้องมีความสุภาพอ่อนน้อมเพราะจะทำให้ ผู้อื่นยิ่งเกรงใจเรามากขึ้น ตรงกันข้าม
การทำตัวกระด้างกระเดื่อง หยาบคาย หยิ่งยโส ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคม
และไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย
6.
P-Professional
คือ
ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน
การที่เรามีหน้าที่อะไร เราก็ควรทำตัวให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในหน้าที่นั้นๆ
หมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และหมั่นฝึกปรือฝีมือในการทำงานอยู่เสมอ
เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด การทำงานอย่างมืออาชีพ
จะเป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจของเจ้านาย รวมไปถึงลูกค้าที่ย่อมจะพอใจ และไว้วางใจ
ให้เราดูแลงานของเขาต่อไป
คาถา 6 P ที่นำมาฝากนี้ อยากให้นำไปปฏิบัติให้เป็นนิสัย
รับรองว่ามันจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ คุณประสบความ สำเร็จ
ในหน้าที่การ งานอย่างแน่นอน