วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

การมอบหมายงาน (Delegation)


การมอบหมายงาน (Delegation)  คือการกระจายงานในหน้าที่ ความรับผิดชอบ และอำนาจการตัดสินใจภายในขอบเขตที่กำหนด ให้ผู้อื่นไปปฎิบัติ
ขั้นตอนของการมอบหมายงาน
กำหนดงานและวัตถุประสงค์ในการมอบหมายงาน 
งานใดที่จะมอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำแทนได้นั้นต้องพิจารณาให้ดีว่างานนั้นเหมาะสมหรือไม่ ตัวอย่างเช่น งานบางอย่างเกี่ยวข้องกับความลับขององค์การ หรือสิ่งที่เป็นงานเชิงนโยบายที่ต้องอาศัยการตัดสินใจและความรับผิดชอบสูงอย่างยิ่งก็คงไม่อาจมอบหมายได้ แต่งานที่เป็นงานประจำ(Routine)                  ก็คงมอบหมายได้ อีกทั้งเมื่อเลือกงานแล้ว ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ในการมอบหมายนั้นให้ชัดว่าต้องการให้ลูกน้องได้พัฒาตนเอง หรือเพื่อประเมินศักยภาพเพื่อเครียมความพร้อม

กำหนดขอบเขตหน้าที่และอำนาจตัดสินใจ 
ในการทำงานบางงานต้องมีการตัดสินใจเช่นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงิน หรือ กระทบภาพลักษณ์(Image)           ขององค์กรหรือหน่วยงาน คงต้องพิจารณาว่าผู้รับมอบหมายงานจะมีอำนาจตัดสินใจได้หรือไม่ หรืออาจต้องมาปรึกาษาหารือกันก่อนที่จะดำเนินการ

พิจารณาบุคคลที่เหมาะสม สืบเนื่องจากการกำหนดวัตถุประสงค์ซึ่งการเลือกคนที่มารอบผิดชอบงานนั่นคงต้องคำนึงว่าถ้าต้องการให้งานนั่นสำเร็จอย่างมีคุณภาพควรเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ ถ้าจะเพื่อพัฒนาลูกน้องก็ต้องดูว่าใครที่ยังไม่มีความสามารถในเรื่องนั่น แต่ถ้าต้องการจะประเมินศักยภาพความพร้อมคงต้องเลือกคนที่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่งในอนาคต
ทำความเข้าใจกับผู้รับมอบงาน
 สิ่งที่สำคัญยิ่งในการมอบหมายงานคือต้องมีการทำความเข้าใจกับตัวผู้ใต้บังคับบัญชาที่เลือกมาแล้วกล่าวคือต้องสอบถามความพร้อม บอกวัตถุประสงค์ของการมอบหมายงาน และแนะนำวิธีการขั้นตอนพร้อมทั้งให้ผู้ที่จะรับมอบหมายได้เสนอแนวทางการดำเนินการ หรือแผนงานที่จะทำเพื่อเป็นการประกับโอกาสความสำเร็จ
   กระตุ้นจูงใจ ให้กำลังใจและสนับสนุน 
เมื่อผู้รับมอบงานได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ทำความเข้าใจกันแล้ว สิ่งที่สำคัญคือต้องมีการกระตุ้นให้กำลังใจ และสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือ ความสะดวก และการชี้แนะหรือให้คำปรึกษาเป็นระยะ    เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และความสัมพันธ์อันดีอันดี

  ติดตามและประเมินผลงาน 
ขั้นตอนสุดท้ายของการมอบหมายงานคือต้องติดตามความคืบหน้าระหว่างดำเนินการว่าเป็นไปตามแผนหรือแนวทางที่กำหนดหรือไม่มีปัญหาอุปสรรคอย่างไรซึ่งจะได้มีการแก้ไข ปรับปรุงได้ทันท่วงที่ก่อนความเสียหายเกิดขึ้น และเมื่องานนั้นแล้วเสร็จก็ต้องประเมินคุณค่าว่าดีเพียงใด และควรมีการให้รางวัลเช่นคำชม หรือของรางวัลก็ดี



อุปกรณ์สำคัญของระบบการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์

เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้ากระแสตรง จึงนำกระแสไฟฟ้าไปใช้ได้เฉพาะกับอุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสตรงเท่านั้น หากต้องการนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับหรือเก็บสะสมพลังงานไว้ใช้ต่อไป จะต้องใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ อีก โดยรวมเข้าเป็นระบบที่ผลิตกระแสไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์สำคัญๆ มีดังนี้ 1. แผงเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Module) ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นไฟฟ้ากระแสตรงและมีหน่วยเป็นวัตต์ (Watt) มีการนำแผงเซลล์แสงอาทิตย์หลายๆ เซลล์มาต่อกันเป็นแถวหรือเป็นชุด (Solar Array) เพื่อให้ได้พลังงานไฟฟ้าใช้งานตามที่ต้องการ โดยการต่อกันแบบอนุกรม จะเพิ่มแรงดันไฟฟ้า และการต่อกันแบบขนาน จะเพิ่มพลังงานไฟฟ้า หากสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์แตกต่างกัน ก็จะมีผลให้ปริมาณของค่าเฉลี่ยพลังงานสูงสุดในหนึ่งวันไม่เท่ากันด้วย รวมถึงอุณหภูมิก็มีผลต่อการผลิตพลังงานไฟฟ้า หากอุณหภูมิสูงขึ้น การผลิตพลังงานไฟฟ้าจะลดลง 2. เครื่องควบคุมการประจุ (Charge Controller) ทำหน้าที่ประจุกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์เข้าสู่แบตเตอรี่ และควบคุมการประจุกระแสไฟฟ้าให้มีปริมาณเหมาะสมกับแบตเตอรี่ เพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ รวมถึงการจ่ายกระแสไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ด้วย ดังนั้น การทำงานของเครื่องควบคุมการประจุ คือ เมื่อประจุกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่จนเต็มแล้ว จะหยุดหรือลดการประจุกระแสไฟฟ้า (และมักจะมีคุณสมบัติในการตัดการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า กรณีแรงดันของแบตเตอรี่ลดลงด้วย) ระบบพลังงานแสงอาทิตย์จะใช้เครื่องควบคุมการประจุกระแสไฟฟ้าในกรณีที่มีการเก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่เท่านั้น 3. แบตเตอรี่ (Battery) ทำหน้าที่เป็นตัวเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ไว้ใช้เวลาที่ต้องการ เช่น เวลาที่ไม่มีแสงอาทิตย์ เวลากลางคืน หรือนำไปประยุกต์ใช้งานอื่นๆ แบตเตอรี่มีหลายชนิดและหลายขนาดให้เลือกใช้งานตามความเหมาะสม 4. เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ทำหน้าที่แปลงพลังงานไฟฟ้าจากกระแสตรง (DC) ที่ผลิตได้จากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ให้เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เพื่อให้สามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสสลับ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ Sine Wave Inverter ใช้ได้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสสลับทุกชนิด และ Modified Sine Wave Inverter ใช้ได้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ากระแสสลับที่ไม่มีส่วนประกอบของมอเตอร์และหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่เป็น Electronic ballast 5. ระบบป้องกันฟ้าผ่า (Lightning Protection) ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายที่เกิดกับอุปกรณ์ไฟฟ้าเมื่อฟ้าผ่า หรือเกิดการเหนี่ยวนำทำให้ความต่างศักย์สูง ในระบบทั่วไปมักไม่ใช้อุปกรณ์นี้ จะใช้สำหรับระบบขนาดใหญ่และมีความสำคัญเท่านั้น รวมถึงต้องมีระบบสายดินที่มีประสิทธิภาพด้วย การประยุกต์ใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ในด้านต่างๆ การนำพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานจากธรรมชาติมาทดแทนพลังงานรูปแบบอื่นๆ ได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมมากขึ้น สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมากมายในการดำรงชีวิต รวมถึงไม่เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น บ้านพักอาศัย ระบบแสงสว่างภายในบ้าน, ระบบแสงสว่างนอกบ้าน (ไฟสนาม, ไฟโรงจอดรถ และโคมไฟรั้วบ้าน ฯลฯ), อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดต่างๆ , ระบบเปิด-ปิดประตูบ้าน, ระบบรักษาความปลอดภัย, ระบบระบายอากาศ, เครื่องสูบน้ำ, เครื่องกรองน้ำ และไฟสำรองยามฉุกเฉิน ฯลฯ ระบบสูบน้ำ อุปโภค, สาธารณูปโภค, ฟาร์มเลี้ยงสัตว์, เพาะปลูก, ทำสวน-ไร่, เหมืองแร่ และชลประทาน ฯลฯ ระบบแสงสว่าง โคมไฟป้ายรถเมล์, ตู้โทรศัพท์, ป้ายประกาศ, สถานที่จอดรถ, แสงสว่างภายนอกอาคาร และไฟถนนสาธารณะ ฯลฯ ระบบประจุแบตเตอรี่ ไฟสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน, ศูนย์ประจุแบตเตอรี่ประจำหมู่บ้านในชนบทที่ไม่มีไฟฟ้าใช้, แหล่งจ่ายไฟสำหรับใช้ในครัวเรือนและระบบแสงสว่างในพื้นที่ห่างไกล ฯลฯ ทำการเกษตร ระบบสูบน้ำ, พัดลมอบผลผลิตทางการเกษตร และเครื่องนวดข้าว ฯลฯ เลี้ยงสัตว์ ระบบสูบน้ำ, ระบบเติมออกซิเจนในบ่อน้ำ (บ่อกุ้งและบ่อปลา) และแสงไฟดักจับแมลง ฯลฯ อนามัย ตู้เย็น/กล่องทำความเย็นเพื่อเก็บยาและวัคซีน, อุปกรณ์ไฟฟ้าทางการแพทย์ สำหรับหน่วยอนามัย, หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ และสถานีอนามัย ฯลฯ คมนาคม สัญญาณเตือนทางอากาศ, ไฟนำร่องทางขึ้น-ลงเครื่องบิน, ไฟประภาคาร, ไฟนำร่องเดินเรือ, ไฟสัญญาณข้ามถนน, สัญญาณจราจร, โคมไฟถนน และโทรศัพท์ฉุกเฉิน ฯลฯ สื่อสาร สถานีทวนสัญญาณไมโครเวฟ, อุปกรณ์โทรคมนาคม, อุปกรณ์สื่อสารแบบพกพา (เช่น วิทยุสนามของหน่วยงานบริการและทหาร) และสถานีตรวจสอบอากาศ ฯลฯ บันเทิงและพักผ่อนหย่อนใจ แหล่งจ่ายไฟฟ้าสำหรับบ้านพักตากอากาศในพื้นที่ห่างไกล, ระบบประจุแบตเตอรี่แบบพกพาติดตัวไปได้ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้ความบันเทิง ฯลฯ พื้นที่ห่างไกล ภูเขา, เกาะ, ป่าลึก และพื้นที่สายส่งการไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ฯลฯ อวกาศ ดาวเทียม

ตัวอย่างเป้าหมายทางการเงินตามช่วงอายุต่างๆ


ตัวอย่างเป้าหมายทางการเงินตามช่วงอายุต่างๆ
สถานภาพ
เป้าหมายระยะสั้น
เป้าหมายระยะกลาง
เป้าหมายระยะยาว
นิสิตปริญญาตรีปีสุดท้าย

หางาน
มีบัตรเครดิต
ซื้อเครื่องเสียงใหม่
ซื้อรถใหม่
เรียนต่อปริญญาโท

เริ่มต้นแผนการลงทุน

คนโสด ช่วงอายุ 20 – 30 ปี

เงินสำรองฉุกเฉิน
ซื้อโทรทัศน์และเครื่องเล่น
ดีวีดีใหม่
เข้าอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้
ไปเที่ยวต่างประเทศ
ซื้อประกันชีวิต
ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
เริ่มเก็บเงินเพื่อลงทุน
เก็บเงินเพื่อดาวน์บ้าน
เริ่มออมเพื่อการเกษียณ

แต่งงานแล้วและมีลูก
(อายุประมาณ 30 กว่า)

เงินสำรองฉุกเฉิน
ซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตเพิ่ม

ซื้อรถคันที่สอง
เพิ่มเงินเก็บเพื่อการศึกษาบุตร
เพิ่มเงินในการลงทุนมากขึ้น
ซื้อบ้าน

แต่งงานและมีลูกโตแล้ว
(อายุประมาณ 50 กว่า)

ซื้อเฟอร์นิเจอร์ชุดใหม่
ไปล่องเรือสำราญ
โอนย้ายการลงทุนไปสู่
หลักทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำเสมอ
ตั้งใจว่าจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี
ท่องเที่ยวทั่วยุโรปและเอเชีย

ที่มา : รู้รอบด้านแผนการเงิน, กบข, 2548, หน้า 17

เปิดโผ 25 ประเทศ เสี่ยงวิกฤตอาหาร


เปิดโผ 25 ประเทศ เสี่ยงวิกฤตอาหารวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 12:12:11 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ราคาสินค้าคอมโมดิตี้ที่พุ่งขึ้นตั้งแต่ปีกลายจนถึงปัจจุบันส่งผลกระทบต่อกระเป๋าเงินของคนทั่วโลก ซึ่งราคาสินค้าคอมโมดิตี้ที่เพิ่มขึ้น ย่อมหมายถึงราคาสินค้าสำเร็จรูปที่แพงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน
และคาดกันว่า ทั้งผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกจะต้องขยับราคาสินค้าพื้นฐานขึ้นในปีนี้ ตั้งแต่เนื้อสัตว์ กาแฟ ไปจนถึงเสื้อผ้า เพื่อผลักภาระต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค

วอลล์สตรีต เจอร์นัล ระบุว่า เมื่อปีกลาย ราคาสินค้าคอมโมดิตี้หลายชนิด เช่น ข้าวโพด ฝ้าย ข้าวสาลี กาแฟ น้ำตาล โกโก้ และถั่วเหลือง พุ่งขึ้นถ้วนหน้า เนื่องจากปัญหาภัยธรรมชาติ และความต้องการบริโภคที่สูงขึ้นของประเทศอย่างจีนและอินเดีย และเทรนด์ดังกล่าวจะดำเนินต่อไปในปีนี้
แต่ราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาคอมโมดิตี้เพียงอย่างเดียว ทว่าขึ้นอยู่กับวิธีการผลิตสินค้านั้น ๆ ด้วย โดยยิ่งใช้กระบวนการแปรรูปน้อยลง ราคาค้าปลีกก็จะสะท้อนราคาสินค้าเกษตรมากขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้การผลิตและส่งสินค้ามีต้นทุนเพิ่มขึ้น ส่วนบรรจุภัณฑ์และโฆษณาก็มีผลต่อราคาสินค้าเช่นกัน

ปัจจุบัน ภาวะเงินเฟ้อของราคาอาหารกลายเป็นปัญหาหลักที่หลายประเทศกำลังเผชิญอยู่ และโนมุระได้เปิดเผยชื่อ 25 ประเทศที่รัฐบาลต้องรับมือกับวิกฤตอาหารที่อาจเกิดขึ้นในประเทศ โดยพิจารณาจากจีดีพีต่อหัว ในสกุลเงินดอลลาร์ สัดส่วนของอาหารต่อการบริโภครวมของภาคครัวเรือน และสัดส่วนยอดการส่งออกอาหารสุทธิ เมื่อเทียบกับจีดีพี ดังนี้
ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่ติดอันดับครั้งนี้ คืออันดับ 10 อาเซอร์ไบจาน
11.แองโกลา 12.โรมาเนีย 14.เคนยา 15.ปากีสถาน 16.ลิเบีย 17.สาธารณรัฐโดมินิกัน 18.ตูนิเซีย 19.บัลแกเรีย 20.ยูเครน 23.ลัตเวีย และ 25.เวเนซุเอลา นอกจากนี้ค้นหาเองนะครับ มีประเทศอะไรบ้าง?


10 วิธีหนี "สมองเสื่อม"


10 วิธีหนี "สมองเสื่อม"
"สมอง" อวัยวะที่เป็นศูนย์บัญชาการสั่งการการทำงานของคนเรา ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นอวัยวะสุดสำคัญ ต้องรักษากันไว้ให้ดี อย่าให้เสื่อมไปก่อนวัยอันควร ถึงแม้กระทรวงสาธารณสุขจะบอกว่าแนวโน้มของผู้สูงอายุไทยจะเป็นโรคสมองเสื่อมในอีก 20 ปี ข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรวางใจปล่อยปละละเลย

"ต้นคิด" จดหมายข่าวรายเดือนของสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ กระซิบบอกเคล็ดวิธีในการถนอมสมอง ด้วยการสร้าง 10 ลักษณะนิสัยสู้ภัยสมองเสื่อมมาให้ บอกว่า
1. ให้ กินอาหารเช้าเป็นกิจวัตร เพราะจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ และมีสารอาหารไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ
2. ต้องกินอาหารแต่พอดี ไม่มากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว ทำให้เกิดโรคความจำสั้น
3.ไม่สูบบุหรี่ เนื่องจากผลวิจัยยืนยันว่า การสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่เป็นเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อ แต่ยังทำให้เสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ หรือ "สมองเสื่อม" อีก4.ลดของหวาน การกินของหวานไม่เพียงทำให้อ้วน แต่ยังกระทบต่อสมองอีกด้วย ถ้ากินของหวานมากเกินพอดีจะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5.หลีกให้ไกลมลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลต่อประสิทธิภาพสมองลดลง
6.และ7. เกี่ยวกับการนอน คือ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และไม่นอนคลุมโปง การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตาย ส่วนนอนคลุมโปงจะลดออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายให้น้อยลง
8. ไม่ใช้สมองในยามป่วย การฝืนสังขารไม่เกิดผลดี กลับจะทำให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง เหมือนทำร้ายสมองไม่รู้ตัว ส่งผลต่อสมรรถภาพการทำงานของสมองในระยะยาว
9. บริหารสมองเป็นนิจ คิดในเรื่องสร้างสรรค์ ไม่คิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย หรือคิดในทางลบ
10. พูดคุยสังสรรค์กับผู้คน เพราะการพูดเป็นตัวแสดงประสิทธิภาพสมอง เนื่องจากต้องคิดต้องขบประเด็น ที่จะสื่อสารต่อยอดการสนทนา อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตา "เม้าท์" นินทาว่าร้ายคนอื่น

สิบข้อง่ายๆ คงพอจะช่วยให้ห่างไกลจาก "สมองเสื่อม" ได้บ้างตามสมควร.

ทำงานได้ด้วยตนเอง


ทำงานได้ด้วยตนเอง
      การหมายถึง เป็นการทำงานได้โดยที่ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือและมีความจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆเพราะนั้นหมายถึงเราต้องทำใจยอมรับหากผลงานที่ทำมาออกมาไม่ได้ดีเท่าที่ควร
      ความหน้าเชื่อถือหรือความไว้วางใจได้ความไว้วางใจ (Trust) เป็นคำที่เข้าใจความหมายได้ง่าย แต่สร้างได้ยาก ที่ว่าความไว้วางใจนั้นสร้างยาก เพราะต้องอาศัยปัจจัยที่ทำให้เชื่อมั่นอย่างน้อย 2 ด้านประกอบกัน คือ 1. ความเก่ง มีประสบการณ์ ความสามารถที่น่าเชื่อถือ และ 2. ความดี คือ มีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่น่านับถือ และทั้งสองด้านนี้ต้องใช้เวลาและความต่อเนื่องเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันด้วย
      พ่อแม่จะไว้วางใจลูกให้ไปเที่ยวเตร่ได้ ก็ต่อเมื่อลูกประพฤติตัวดี ขยันหมั่นเพียรอย่างต่อเนื่อง และมีผลการสอบที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ หัวหน้าจะไว้วางใจให้ลูกน้องทำงานแทนตนในช่วงพักร้อน ก็เพราะหัวหน้ามั่นใจในความรับผิดชอบและเห็นฝีมือของลูกน้องจากผลงานที่ผ่านมา องค์กรจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าก็ต้องเกิดจากการใส่ใจดูแลอย่างจริงใจ สามารถสร้างสรรค์บริการที่ตรงตามความคาดหมายได้อย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่า ความไว้วางใจ หากเกิดขึ้น ไม่ว่ากับบุคคล หรือ เกิดขึ้นในระดับใด ก็จะช่วยทำให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น ส่งผลต่อแรงจูงใจที่จะสรรค์สร้างผลงานให้ดีขึ้นตามไปด้วย
เราจะสร้างและพัฒนา ความไว้วางใจได้นั้นให้เกิดขึ้นกับพนักงาน ทีมงาน ภายในองค์กรได้อย่างไร
พนักงาน สามารถพัฒนาตนให้เป็นคน วางใจได้ เชื่อถือได้โดยมุ่งพัฒนาทั้งคุณลักษณะส่วนบุคคลและความสามารถของตนอย่างต่อเนื่อง จริงๆ แล้ว การพัฒนาให้ตนเองเป็นคนที่ใครเห็นก็อยากให้ร่วมงานด้วย อยากให้ความร่วมมือช่วยเหลือ เท่ากับเป็นการสร้างยี่ห้อหรือ Brand ให้แก่ตัวเอง ซึ่งก็ช่วยให้ได้รับความไว้วางใจในการรับผิดชอบงานที่สูงขึ้น ได้รับโอกาสความก้าวหน้ามากขึ้น ดังนั้น พนักงานจึงต้องหมั่นสำรวจและพัฒนาพฤติกรรมที่สะท้อน ความไว้วางใจได้อยู่เสมอ ซึ่งมีอยู่ 2 ด้านหลักๆ
ความเก่งด้านความรู้ ความสามารถ พนักงานก็ต้องหมั่นขวนขวาย แสวงหาความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีความสามารถแล้วก็ต้องแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ โดยขันอาสาในการทำงานที่มีโอกาสใช้ความสามารถนั้น หรือเมื่อมีเวทีมาอยู่ตรงหน้าก็ใช้จังหวะโอกาสนั้น แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ รู้จักที่จะขายงานหรือ Marketing โครงการของตนเอง ให้หัวหน้าหรือทีมงานเห็นแนวทางการวางแผนงานและความคิดสร้างสรรค์ของตน หากผลงานของพนักงานได้รับการตอบรับดี มีการนำไปใช้เกิดประโยชน์ พนักงานก็สามารถรวบรวมความสำเร็จต่างๆ มารายงานเป็นข้อมูลให้หัวหน้าทราบได้ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในฝีมือของพนักงาน
      อย่างไรก็ตาม พนักงานมีแต่ความสามารถที่โดดเด่น แต่ขาดคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดีงาม เช่น ขาดความรับผิดชอบ ก็ไม่อาจทำให้ผู้อื่นไว้วางใจได้ ดังนั้น จึงต้องพัฒนาพฤติกรรมที่สะท้อนความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ ควบคู่กันกับความรู้ความสามารถด้วย
      พฤติกรรมความดีที่สะท้อนความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ ส่วนใหญ่จะเป็นพฤติกรรมเชิง E.Q. ได้แก่ ความเป็นผู้ใหญ่ มีหลักการใช้เหตุผล มีวินัย ความรับผิดชอบ บริหารอารมณ์ได้ดี รักษาคำพูด ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม เป็นต้น
      พนักงานต้องหาวิธีสำรวจตัวเอง โดยอาจได้ข้อมูลจากการสังเกตปฏิกิริยาของผู้อื่นที่มีต่อพฤติกรรมของเรา จากการไปขอข้อมูลป้อนกลับมาประกอบเพิ่มเติม หากตระหนักรู้ ยอมรับ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้พนักงานเป็นทั้งคนเก่งและคนดี มียี่ห้อ ที่ผู้คนพร้อมจะมอบความไว้วางใจให้
      หัวหน้างาน มีส่วนอย่างมากในการสร้างและพัฒนาให้พนักงานเป็นคนที่น่าเชื่อถือ และไว้วางใจได้ ซึ่งต้องเริ่มจาก ตัวหัวหน้าเองนั่นแหละ ที่พยายามทำใจให้พร้อมจะไว้วางใจคนอื่น และเชื่อมั่นในคุณค่าของคน นอกจากนี้ หัวหน้าต้องให้คำแนะนำและการสอนงาน บอกความคาดหวังและชี้แจงเป้าหมายที่ชัดเจน เพิ่มโอกาสให้รับผิดชอบงานที่สูงขึ้น มอบอำนาจในการตัดสินใจด้วยความไว้วางใจ มีการติดตามถามไถ่ ไม่ต้องไปเสียเวลาหากลไกไปควบคุมดูแล หรือคอยจับผิด แต่มุ่งยกย่องชื่นชมในความสามารถของลูกน้อง หัวหน้าแสดงพฤติกรรมดังกล่าวอย่างจริงใจ ก็จะเป็นการพัฒนาให้ลูกทีมมีความสามารถที่น่าเชื่อถือ หัวหน้าให้ความไว้วางใจลูกน้อง ลูกน้องก็จะยิ่งไม่กล้าทำให้เสียความไว้วางใจ ที่สำคัญพฤติกรรมที่ดีของหัวหน้านั้น จะทำให้ลูกทีมให้ความยอมรับนับถือและไว้วางใจในตัวหัวหน้าด้วย
      หน่วยงานและองค์กร พัฒนาวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการสื่อสารข้อมูลกันอย่างชัดเจน ต่อเนื่อง ส่งเสริมการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน สนับสนุนให้มีความกล้าเสี่ยง หากมีข้อผิดพลาดจะไม่กล่าวโทษกัน แต่ที่จะเรียนรู้ร่วมกัน วัฒนธรรมในการทำงานเช่นนี้ จะช่วยสร้างบรรยากาศของความไว้วางใจกัน ความสัมพันธ์ และความร่วมมือร่วมใจในหมู่พนักงานก็จะมีสูงขึ้น ซึ่งย่อมส่งผลไปถึงผลงานโดยรวมขององค์กรต่อไป  และทำให้เป็นที่รับทราบในวงกว้าง 

ความมั่นใจในตนเอง


การมีความรักเป็นสิ่งดี ไม่ว่าจะรักพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนรู้ใจ สัตว์เลี้ยง ฯลฯ เมื่อมีความรักทำให้เราสดชื่น มีกำลังใจและมีความสุข อย่างไรก็ตามมีความรักอีกอย่าง ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ รักตนเอง
แต่ไม่ได้หมายถึงหลงตัวเอง เห็นแก่ตัว ถือว่าตนดีกว่าคนอื่นหรือเหย่อหยิ่งจนไม่น่าดู แต่เป็นความรักที่ทำให้เราคิดดีต่อตนเอง เพิ่มความมั่นใจให้แก่ตนเอง รู้สึกว่าตนเองมีค่ามากขึ้น หลายๆ คนที่ไม่รักตนเองมักประสบกับปัญหาภาวะซึมเศร้า มีแนวโน้มที่จะทำร้ายตนเองด้วยการฆ่าตัวตาย
หรือหันไปพึ่งยาเสพติด แล้วอะไรคือสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้คนไม่รักตนเอง?
โดยรวมแล้วขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เพราะตั้งแต่แรกคนเราไม่ได้เกิดมา พร้อมกับความรู้สึกมั่นใจตนเอง สภาพแวดล้อมและคนรอบตัวต่างหากที่เป็นตัวกำหนด เช่น การเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งหากเด็กเติบโตมาพร้อมกับพ่อแม่ที่เอาใจอย่างดี แสดงความรักอย่างเปิดเผย เด็กก็จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า มีความมั่นใจ ตรงกันข้ามหากเด็กโตมาพร้อมกับการตำหนิว่ากล่าวพ่อแม่ไม่ใส่ใจ โดนตีบ่อยๆ หรือแม้กระทั่ง โดนเพื่อนล้อเลียน ก็จะรู้สึกว่าตนเองไม่สำคัญ ไม่มีความมั่นใจในตนเองและติดเป็นนิสัยเมื่อเป็นผู้ใหญ่ หากจะให้แยกว่าคนไหนมั่นใจตนเอง คนไหนไม่มั่นใจตนเอง สังเกตจากภายนอกคงไม่ได้ เพราะ บางคนเวลาทำงานดูเป็นคนมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว แต่ภายในก็อาจจะคิดกังวลเป็นทุกข์อยู่คนเดียว ซึ่งไม่มีใครรู้ความจริง โดยทั่วไปคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง ไม่รักตนเองจะมีลักษณะนิสัยดังต่อไปนี้ •ปิดบังตัวตนไว้ภายใน
เป็นประเภทแสดงออกว่าตนเองมีความมั่นใจในตนเอง ประสบความสำเร็จ แต่จริงๆ กลัวมาก ว่าสักวันตัวตนที่แท้จริงของตนจะมีคนรู้   คนประเภทนี้มักติดอยู่กับความคิดสมบูรณ์แบบ การแข่งขันแก่งแย่ง และกลัวการสูญเสีย
ต่อต้านผู้อื่น เป็นประเภทไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่น มักขัดแย้ง กับผู้บริหารหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่จริงๆ แล้วทำเพราะรู้สึกโกรธตนเอง ที่ทำอย่างไรก็รู้สึกไม่พอ ไม่มีความสุข

คิดว่าเป็นผู้แพ้เสมอ  เอาความทุกข์ หรือความลำบากของตน มาเป็นเกราะ หรือข้ออ้างสำหรับตนเอง คนประเภทนี้มักพึ่งพาแต่ผู้อื่น และมักจะทำสิ่งต่างๆ ได้ต่ำกว่าที่คาดหวังไว้เรื่อยไป

คิดแบบเหมารวม  หากเคยผิดพลาด หรือล้มเหลวครั้งหนึ่งแล้ว ก็คิดว่าครั้งต่อๆ ไปก็จะพลาดไปตลอด

ประเมินมาตรฐานตนเองต่ำเกินไป
แทนที่จะพูดถึงคุณสมบัติด้านดีที่แท้จริงของตน ก็ยกข้อเสียมาอ้าง บั่นทอนภาพลักษณ์ตนเองเสียหมด 
คิดแบบสุดโต่ง
คนประเภทนี้คิดอยู่เพียงสองด้าน นั่นคือ ถ้าไม่ดีสมบูรณ์พร้อม ก็ไร้ค่า ไม่เคยมีความคิดแบบทางสายกลาง 
   โทษแต่ตัวเอง
มักกล่าวโทษตัวเองสม่ำเสมอ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของตนเอง

ช่างเปรียบเทียบ
มักเอาข้อด้อยตนเองไปเปรียบเทียบ กับข้อดีของคนอื่นๆ เป็นประจำ ทำให้ตนรู้สึกแย่มากขึ้น

คิดไปเองคนเดียว
ชอบสรุปว่าคนนั้น คนนี้ไม่สนใจ โกรธ เกลียดตนเอง ฯลฯ ซึ่งไม่มีมูลจริงเท็จว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะคิดแบบนี้ หรือคาดหวังว่าทุกสิ่งที่ทำจะเป็นไปอย่างที่คิดทุกประการ

แบกทุกอย่างไว้บนบ่า
รู้สึกว่าตนเองต้องรับผิดชอบ จัดการทุกอย่าง แม้ว่าจะเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่สามารถควบคุมได้ ก็จะรู้สึกว่าตนเองโดนลงโทษ โดนแกล้ง
      หากคุณมีแนวคิดเช่นนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกผิดหวัง ท้อแท้ ไม่มีความมั่นใจและรักตนเองน้อยลงทุกที แต่จะให้เปลี่ยนความคิดแบบปัจจุบันทันด่วน
ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงความคิด ต้องใช้เวลาพอสมควร และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนจนดีขึ้นเรื่อยๆ โดยหลักความคิดง่ายๆ ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และรักตนเองมากขึ้น มี 12 วิธีหลักๆ ดังนี้
          1. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น
          2. จงเปรียบกับคนที่ด้อยกว่า
          3. ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
          4. พูดคุยกับเพื่อน
          5. ปรึกษานักบำบัด
          6. ให้รางวัลตนเอง
7. เก็บความภูมิใจลงในบันทึก
          8. เสริมจุดเด่นลดจุดด้อย
          9. พยายามทำกิจกรรมที่ตนชื่นชอบ
          10. อย่าโทษตัวเองไปเสียทุกเรื่อง
          11. เผชิญหน้ากับการว่ากล่าว
          12. ดูแลสุขภาพตนเอง
          การเปลี่ยนแปลงความคิดตนเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจ อาจดูยาก และใช้ความอดทนพอสมควร แต่ความมั่นใจนี้เองจะทำให้คุณมีความสุขกับชีวิต กลายเป็นคนใหม่ที่รักและพอใจกับสิ่งที่คุณเป็น 

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

การทุ่มเทในการทำงาน


การทุ่มเทในการทำงาน
           การทุ่มเทในการทำงานเพื่อให้การทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้น จะว่ายากก็ยาก แต่จะว่าง่ายก็ง่ายอีกเหมือนกัน เพียงแต่เราต้องรู้จักเคล็ดลับง่ายๆ ในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ รวมทั้งต้องมีการพัฒนาศักยภาพและความสามารถของตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ
            จากหนังสือ เคล็ดลับการบริหารของวอร์เรน ปัฟเฟ็ตต์ ของสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์ ซึ่งเขียนขึ้นมาเพื่อเผยแพร่เครื่องมือสู่ความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวและการงานของอัจฉริยะ นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งคนทำงานระดับพนักงานอย่างเราๆ ท่านๆ สามารถนำข้อมูลไปปรับใช้กับชีวิตการทำงานได้เป็นอย่างดี
            และนี่คือเคล็ดลับส่วนหนึ่งที่วอร์เรน ปัฟเฟ็ตต์ ได้บอกเล่าเอาไว้ว่าทำอย่างไรคุณถึงจะเป็นคนทำงานที่พบกับความสำเร็จได้ไม่ยาก
            ทำงานที่คุณรัก
            วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ บอกว่า บ่อยครั้งความรวยทำให้คนเราต้องทนทำงาน หรือมีอาชีพที่ตนเองไม่ชอบ และก็ต้องทนอยู่กับมันวันแล้ววันเล่า เพียงเพื่อหลอกตัวเองให้เชื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้ทำในสิ่งที่เราฝันอยากจะทำ แต่ตอนนี้เรากำลังใช้ชีวิตที่น่าเบื่อและต้องทนทุกข์กับการทำงานเพื่อเงินเพียงเหตุผลเดียวก็คือ ความจำเป็น
            แต่วอร์เรนนั้นเชื่อว่า การไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก หรือทำให้การงานเป็นสิ่งที่น่าเบื่อนั้น คอยแต่จะฉุดเราให้แย่ลง และทำลายจิตวิญญาณของเรา และแม้ว่างานนั้นจะทำเงินได้มากมายก็ตามแต่ หากต้องอยู่กับงานที่ไม่ชอบถึงวันละ ๙ ชั่วโมง ก็เป็นเรื่องที่ไม่สนุกเอาเสียเลย
            ในโลกของการทำงาน ผู้ที่สามารถประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือผู้ที่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก เงินไม่ใช่แรงผลักดันเสมอไป แต่สิ่งเดียวที่ผลักดันให้งานประสบความสำเร็จก็คือ ความรักในสิ่งที่ทำ
            ความหมกมุ่น
            ความหมกมุ่นที่ว่านี้ วอร์เรน บอกว่า คือการหมกมุ่นอยู่กับงาน เพราะผู้บริหารหรือพนักงานที่จะประสบกับความสำเร็จได้ ก็คือคนที่คิดถึงแต่งานหรือธุรกิจตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า และฝันถึงงานในตอนกลางคืน อย่างที่เขาบอกว่า ความหมกมุ่นคือ ค่างวดของความสมบูรณ์แบบ
            และความหมกมุ่นนี่แหละที่วอร์เรนพยายามมองหาในตัวพนักงาน หากเขาสามารถถามผู้ที่มาสัมภาษณ์งานได้คำถามเดียวคำถามนั้นคือ พวกเขาหมกมุ่นกับสิ่งที่กำลังทำอยู่แค่ไหน? เพราะในโลกของวอร์เรนนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณฉลาดแค่ไหน แต่อยู่ที่เราหมกมุ่นเพียงใด เรารักในสิ่งที่ทำอยู่แค่ไหน และถ้าหากเราบังเอิญฉลาดด้วยแล้วก็ยิ่งวิเศษราวกับน้ำตาลบนขนมเค้กที่แสนอร่อยทีเดียว

            พลังของความซื่อสัตย์
            วอร์เรน บอกเอาไว้ในหนังสือว่า ผู้บริหารหรือพนักงานที่มีความซื่อสัตย์กับผู้อื่น เมื่อทำสิ่งผิดพลาดก็มักจะเรียนรู้จากความผิดพลาดมากกว่า ในขณะที่ผู้บริหารหรือพนักงานที่มักจะเมินเฉยกับความผิดพลาดของตนหรือพยายามโทษผู้อื่น หรือสิ่งอื่นเมื่อทำผิดพลาด มักจะโกหกตัวเองในสิ่งสำคัญอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
            วอร์เรนพบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับงานบัญชี และเชื่อว่าความตั้งใจในการปรับแต่งตัวเลขจำนวนหนึ่งจะนำไปสู่การปรับแต่งตัวเลขทั้งหมดในที่สุด
            “เราเชื่อด้วยว่าความตรงไปตรงมาเป็นประโยชน์กับเราในฐานะผู้บริหาร ซีอีโอที่หลอกลวงผู้อื่นในที่สาธารณะจะหลอกตัวเองในที่รโหฐานด้วยเช่นกันในที่สุด
            ทุกคนพลาดได้ ยอมรับซะ
            วอร์เรนเชื่อว่าเมื่อทำผิดพลาด คนเราต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยการยอมรับโดยเร็วและหนักแน่น หาไม่แล้วคนจะรู้สึกว่าเรากำลังพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง ขี้ขลาด หรือไม่มีความซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับว่าเราทำผิด ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้คนไม่ไว้วางใจในตัวเรา ไม่มีใครที่ทนกับผู้ที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอได้และก็ไม่มีใครที่ทนกับคนที่ไม่ยอมรับว่าตนผิดได้
            คนจะมีความรู้สึกว่า ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับผิดทั้งที่ผิด มีอะไรอื่นอีกหรือไม่ที่พวกเขาโกหก?
วอร์เรนจะเผชิญหน้ากับความผิดทุกอย่างที่เขาทำเสมอ เขาจะยอมรับกับผู้บริหารเมื่อเขาพลาด และจะเป็นคนแรกที่ยอมรับกับผู้ถือหุ้นด้วยว่าเขาไปแล้ว
            จัดการกับความผิดพลาด
            ไม่มีใครที่จะดีและสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง รวมทั้งวอร์เรนด้วย ความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น สิ่งที่จะต้องจำไว้ก็คือความสำเร็จในชีวิตของเราจะต้องมากกว่าความผิดพลาด ถ้าสมการนี้พลิกกลับเป็นอีกแบบแล้วละก็ ชีวิตคุณมีปัญหาแน่
            วิธีจัดการกับความผิดพลาดของวอร์เรนทำให้เขาแตกต่างจากคู่แข่ง เพราะเขาจะเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ไม่จมกับมัน คนที่จมกับความผิดพลาดเสียทั้งเวลา เสียทั้งพลังงาน ที่นำไปใช้หาวิธีใหม่ๆ ในการทำเงิน หรือสนุกกับชีวิตเสียยังดีกว่า
            ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของอดีต และนอกจากว่าเราจะจำเป็นบทเรียนไว้แล้ว วอร์เรนบอกว่าสิ่งที่เหลือควรทิ้งไว้ในอดีต เพราะเงินที่เราจะได้ล้วนอยู่ในอนาคตทั้งสิ้น
            นี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ไม่ยาก เชื่อเถอะ
การทำงานหรือการใดๆที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยองค์ประกอบหลายประการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงานนั้น ประสบการณ์ของผู้ทำงานนั้น และจำนวนผู้ร่วมงานนั้น แต่งานใดๆก็แล้วแต่ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบพี้นฐาน 4 ประการด้วยกันคือ
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
สี่องค์ประกอบพื้นฐานนี้ ทางพุทธศาสนาเรียกว่า อิทธิบาท 4 แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ
แต่องค์ประกอบเหล่านี้เป็น  องค์ประกอบภายในจิตใจของผู้ทำงานนั้นๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะมี 4 ตัวนี้มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่สภาวะจิตใจในขณะนั้น และเป้าหมายของการทำงานในขณะนั้น 
นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบภายนอกที่เป็นปัจจัยต่อความสำเร็จของงานใดๆ อีกมากมาย สรุปรวมได้เป็น
1 input ของงาน หรือวัตถุดิบ 
2 process ของงาน หรือกระบวนการขั้นตอนการทำงาน
3 ปัจจัยภายนอกอื่นๆนอกเหนือการควบคุม
ดังนั้นการทำงานใดๆหรือการใดจะประสบความสำเร็จได้นั้นผู้ทำงานนั้นต้องมีองค์ประกอบภายใน ครบทั้ง 4 สิ่ง จึงจะทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จได้ แต่จะต้องใช้หรือมีตัวไหนมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับงานนั้นๆ

ใครที่คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เท่าที่ควร หรือล้มเหลวเมื่อปีที่ผ่านมา อย่าเพิ่งท้อ ลองค้นหาจุดบกพร่องของตัวเอง แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมทั้งหาเทคนิควิธีการใหม่ๆมาปรับใช้ในการทำงาน
ซึ่งก็มีเทคนิคในการทำงานดีๆที่เรียกว่า คาถา 6 P มาฝาก
1. P-Positive Thinking
คือ การมีทัศนคติที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ไม่คิดในทางลบ เช่น หากเจอปัญหาในการทำงาน แทนที่จะนั่งกลุ้มใจ คิดว่าคราวนี้ต้องแย่แน่ ก็ให้มองว่า นี่เป็นหนทางหนี่งที่จะฝึกฝนให้เราเก่งกล้ามากยิ่งขึ้น
2. P-Peaceful Mind
คือ การมีจิตใจที่สงบ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า จงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หรือเปล่า คำพูดนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว เวลาเกิดปัญหาขึ้น เราอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับปัญหานั้น การมีจิตใจที่สงบ มีสมาธิ จะทำให้เราเกิดปัญญา ในการคิดหา วิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้ ยังทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
3. P-Patient
คือ การมีความอดทน คาถาข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อที่แล้ว เพราะการที่เราจะมีจิตที่สงบได้ เราต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ระงับอารมณ์ ความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆ หากสิ่งใดๆ ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เราก็ต้องอดทนรอคอย ให้ถึงช่วงเวลาของเรา นอกจากนี้ยังต้องอดทน ต่อปัญหาและความยากลำบากในการทำงานด้วย
4. P-Punctual
คือการเป็นคนตรงต่อเวลา มนุษย์เราได้ถูกปลูกฝัง ให้เป็นคนมีวินัย รู้จักตรงต่อเวลามาตั้ง แต่ยังเป็นเด็ก เช่น การไม่มาโรงเรียนสาย ส่งการบ้านให้ตรงเวลา ในการทำงานก็เช่นกัน หากเรามาทำงานสาย เจ้านายคงไม่ชอบแน่ๆ แล้วยิ่งถ้าเราผิดนัดลูกค้า ผลเสียคงตามมาอีกเป็นกระบุง แม้แต่เวลายังรักษาไม่ได้ เจ้านาย หรือลูกค้าคงไม่ไว้ใจ ให้เราทำงานใดๆแล้วละ
5. P-Polite
คือ การเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นคนสุภาพนอบน้อม จะทำให้มีแต่คนรักใคร่ และอยากช่วยเหลือ ยิ่งถ้าเรามีตำแหน่งใหญ่ โตด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีความสุภาพอ่อนน้อมเพราะจะทำให้ ผู้อื่นยิ่งเกรงใจเรามากขึ้น ตรงกันข้าม การทำตัวกระด้างกระเดื่อง หยาบคาย หยิ่งยโส ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคม และไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย
6. P-Professional
คือ ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน การที่เรามีหน้าที่อะไร เราก็ควรทำตัวให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในหน้าที่นั้นๆ หมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และหมั่นฝึกปรือฝีมือในการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด การทำงานอย่างมืออาชีพ จะเป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจของเจ้านาย รวมไปถึงลูกค้าที่ย่อมจะพอใจ และไว้วางใจ ให้เราดูแลงานของเขาต่อไป
คาถา 6 P ที่นำมาฝากนี้ อยากให้นำไปปฏิบัติให้เป็นนิสัย รับรองว่ามันจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ คุณประสบความ สำเร็จ ในหน้าที่การ งานอย่างแน่นอน


           การทุ่มเทในการทำงานเพื่อให้การทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้น จะว่ายากก็ยาก แต่จะว่าง่ายก็ง่ายอีกเหมือนกัน เพียงแต่เราต้องรู้จักเคล็ดลับง่ายๆ ในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ รวมทั้งต้องมีการพัฒนาศักยภาพและความสามารถของตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ
            จากหนังสือ เคล็ดลับการบริหารของวอร์เรน ปัฟเฟ็ตต์ ของสำนักพิมพ์โพสต์บุ๊กส์ ซึ่งเขียนขึ้นมาเพื่อเผยแพร่เครื่องมือสู่ความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวและการงานของอัจฉริยะ นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งคนทำงานระดับพนักงานอย่างเราๆ ท่านๆ สามารถนำข้อมูลไปปรับใช้กับชีวิตการทำงานได้เป็นอย่างดี
            และนี่คือเคล็ดลับส่วนหนึ่งที่วอร์เรน ปัฟเฟ็ตต์ ได้บอกเล่าเอาไว้ว่าทำอย่างไรคุณถึงจะเป็นคนทำงานที่พบกับความสำเร็จได้ไม่ยาก
            ทำงานที่คุณรัก
            วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ บอกว่า บ่อยครั้งความรวยทำให้คนเราต้องทนทำงาน หรือมีอาชีพที่ตนเองไม่ชอบ และก็ต้องทนอยู่กับมันวันแล้ววันเล่า เพียงเพื่อหลอกตัวเองให้เชื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้ทำในสิ่งที่เราฝันอยากจะทำ แต่ตอนนี้เรากำลังใช้ชีวิตที่น่าเบื่อและต้องทนทุกข์กับการทำงานเพื่อเงินเพียงเหตุผลเดียวก็คือ ความจำเป็น
            แต่วอร์เรนนั้นเชื่อว่า การไม่ได้ทำในสิ่งที่รัก หรือทำให้การงานเป็นสิ่งที่น่าเบื่อนั้น คอยแต่จะฉุดเราให้แย่ลง และทำลายจิตวิญญาณของเรา และแม้ว่างานนั้นจะทำเงินได้มากมายก็ตามแต่ หากต้องอยู่กับงานที่ไม่ชอบถึงวันละ ๙ ชั่วโมง ก็เป็นเรื่องที่ไม่สนุกเอาเสียเลย
            ในโลกของการทำงาน ผู้ที่สามารถประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือผู้ที่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก เงินไม่ใช่แรงผลักดันเสมอไป แต่สิ่งเดียวที่ผลักดันให้งานประสบความสำเร็จก็คือ ความรักในสิ่งที่ทำ
            ความหมกมุ่น
            ความหมกมุ่นที่ว่านี้ วอร์เรน บอกว่า คือการหมกมุ่นอยู่กับงาน เพราะผู้บริหารหรือพนักงานที่จะประสบกับความสำเร็จได้ ก็คือคนที่คิดถึงแต่งานหรือธุรกิจตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า และฝันถึงงานในตอนกลางคืน อย่างที่เขาบอกว่า ความหมกมุ่นคือ ค่างวดของความสมบูรณ์แบบ
            และความหมกมุ่นนี่แหละที่วอร์เรนพยายามมองหาในตัวพนักงาน หากเขาสามารถถามผู้ที่มาสัมภาษณ์งานได้คำถามเดียวคำถามนั้นคือ พวกเขาหมกมุ่นกับสิ่งที่กำลังทำอยู่แค่ไหน? เพราะในโลกของวอร์เรนนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณฉลาดแค่ไหน แต่อยู่ที่เราหมกมุ่นเพียงใด เรารักในสิ่งที่ทำอยู่แค่ไหน และถ้าหากเราบังเอิญฉลาดด้วยแล้วก็ยิ่งวิเศษราวกับน้ำตาลบนขนมเค้กที่แสนอร่อยทีเดียว

            พลังของความซื่อสัตย์
            วอร์เรน บอกเอาไว้ในหนังสือว่า ผู้บริหารหรือพนักงานที่มีความซื่อสัตย์กับผู้อื่น เมื่อทำสิ่งผิดพลาดก็มักจะเรียนรู้จากความผิดพลาดมากกว่า ในขณะที่ผู้บริหารหรือพนักงานที่มักจะเมินเฉยกับความผิดพลาดของตนหรือพยายามโทษผู้อื่น หรือสิ่งอื่นเมื่อทำผิดพลาด มักจะโกหกตัวเองในสิ่งสำคัญอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
            วอร์เรนพบว่าเรื่องนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับงานบัญชี และเชื่อว่าความตั้งใจในการปรับแต่งตัวเลขจำนวนหนึ่งจะนำไปสู่การปรับแต่งตัวเลขทั้งหมดในที่สุด
            “เราเชื่อด้วยว่าความตรงไปตรงมาเป็นประโยชน์กับเราในฐานะผู้บริหาร ซีอีโอที่หลอกลวงผู้อื่นในที่สาธารณะจะหลอกตัวเองในที่รโหฐานด้วยเช่นกันในที่สุด
            ทุกคนพลาดได้ ยอมรับซะ
            วอร์เรนเชื่อว่าเมื่อทำผิดพลาด คนเราต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยการยอมรับโดยเร็วและหนักแน่น หาไม่แล้วคนจะรู้สึกว่าเรากำลังพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง ขี้ขลาด หรือไม่มีความซื่อสัตย์พอที่จะยอมรับว่าเราทำผิด ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ทำให้คนไม่ไว้วางใจในตัวเรา ไม่มีใครที่ทนกับผู้ที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอได้และก็ไม่มีใครที่ทนกับคนที่ไม่ยอมรับว่าตนผิดได้
            คนจะมีความรู้สึกว่า ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับผิดทั้งที่ผิด มีอะไรอื่นอีกหรือไม่ที่พวกเขาโกหก?
วอร์เรนจะเผชิญหน้ากับความผิดทุกอย่างที่เขาทำเสมอ เขาจะยอมรับกับผู้บริหารเมื่อเขาพลาด และจะเป็นคนแรกที่ยอมรับกับผู้ถือหุ้นด้วยว่าเขาไปแล้ว
            จัดการกับความผิดพลาด
            ไม่มีใครที่จะดีและสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง รวมทั้งวอร์เรนด้วย ความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น สิ่งที่จะต้องจำไว้ก็คือความสำเร็จในชีวิตของเราจะต้องมากกว่าความผิดพลาด ถ้าสมการนี้พลิกกลับเป็นอีกแบบแล้วละก็ ชีวิตคุณมีปัญหาแน่
            วิธีจัดการกับความผิดพลาดของวอร์เรนทำให้เขาแตกต่างจากคู่แข่ง เพราะเขาจะเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ไม่จมกับมัน คนที่จมกับความผิดพลาดเสียทั้งเวลา เสียทั้งพลังงาน ที่นำไปใช้หาวิธีใหม่ๆ ในการทำเงิน หรือสนุกกับชีวิตเสียยังดีกว่า
            ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของอดีต และนอกจากว่าเราจะจำเป็นบทเรียนไว้แล้ว วอร์เรนบอกว่าสิ่งที่เหลือควรทิ้งไว้ในอดีต เพราะเงินที่เราจะได้ล้วนอยู่ในอนาคตทั้งสิ้น
            นี่เป็นเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ไม่ยาก เชื่อเถอะ
การทำงานหรือการใดๆที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยปัจจัยองค์ประกอบหลายประการแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงานนั้น ประสบการณ์ของผู้ทำงานนั้น และจำนวนผู้ร่วมงานนั้น แต่งานใดๆก็แล้วแต่ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบพี้นฐาน 4 ประการด้วยกันคือ
๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
สี่องค์ประกอบพื้นฐานนี้ ทางพุทธศาสนาเรียกว่า อิทธิบาท 4 แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ
แต่องค์ประกอบเหล่านี้เป็น  องค์ประกอบภายในจิตใจของผู้ทำงานนั้นๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะมี 4 ตัวนี้มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่สภาวะจิตใจในขณะนั้น และเป้าหมายของการทำงานในขณะนั้น 
นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบภายนอกที่เป็นปัจจัยต่อความสำเร็จของงานใดๆ อีกมากมาย สรุปรวมได้เป็น
1 input ของงาน หรือวัตถุดิบ 
2 process ของงาน หรือกระบวนการขั้นตอนการทำงาน
3 ปัจจัยภายนอกอื่นๆนอกเหนือการควบคุม
ดังนั้นการทำงานใดๆหรือการใดจะประสบความสำเร็จได้นั้นผู้ทำงานนั้นต้องมีองค์ประกอบภายใน ครบทั้ง 4 สิ่ง จึงจะทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จได้ แต่จะต้องใช้หรือมีตัวไหนมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับงานนั้นๆ

ใครที่คิดว่าตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เท่าที่ควร หรือล้มเหลวเมื่อปีที่ผ่านมา อย่าเพิ่งท้อ ลองค้นหาจุดบกพร่องของตัวเอง แล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น พร้อมทั้งหาเทคนิควิธีการใหม่ๆมาปรับใช้ในการทำงาน
ซึ่งก็มีเทคนิคในการทำงานดีๆที่เรียกว่า คาถา 6 P มาฝาก
1. P-Positive Thinking
คือ การมีทัศนคติที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ ไม่คิดในทางลบ เช่น หากเจอปัญหาในการทำงาน แทนที่จะนั่งกลุ้มใจ คิดว่าคราวนี้ต้องแย่แน่ ก็ให้มองว่า นี่เป็นหนทางหนี่งที่จะฝึกฝนให้เราเก่งกล้ามากยิ่งขึ้น
2. P-Peaceful Mind
คือ การมีจิตใจที่สงบ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า จงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หรือเปล่า คำพูดนี้ใช้ได้ผลดีทีเดียว เวลาเกิดปัญหาขึ้น เราอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปกับปัญหานั้น การมีจิตใจที่สงบ มีสมาธิ จะทำให้เราเกิดปัญญา ในการคิดหา วิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้ ยังทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
3. P-Patient
คือ การมีความอดทน คาถาข้อนี้ก็สอดคล้องกับข้อที่แล้ว เพราะการที่เราจะมีจิตที่สงบได้ เราต้องรู้จักอดทนอดกลั้น ระงับอารมณ์ ความรู้สึกที่ไม่ดีต่างๆ หากสิ่งใดๆ ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ เราก็ต้องอดทนรอคอย ให้ถึงช่วงเวลาของเรา นอกจากนี้ยังต้องอดทน ต่อปัญหาและความยากลำบากในการทำงานด้วย
4. P-Punctual
คือการเป็นคนตรงต่อเวลา มนุษย์เราได้ถูกปลูกฝัง ให้เป็นคนมีวินัย รู้จักตรงต่อเวลามาตั้ง แต่ยังเป็นเด็ก เช่น การไม่มาโรงเรียนสาย ส่งการบ้านให้ตรงเวลา ในการทำงานก็เช่นกัน หากเรามาทำงานสาย เจ้านายคงไม่ชอบแน่ๆ แล้วยิ่งถ้าเราผิดนัดลูกค้า ผลเสียคงตามมาอีกเป็นกระบุง แม้แต่เวลายังรักษาไม่ได้ เจ้านาย หรือลูกค้าคงไม่ไว้ใจ ให้เราทำงานใดๆแล้วละ
5. P-Polite
คือ การเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน การเป็นคนสุภาพนอบน้อม จะทำให้มีแต่คนรักใคร่ และอยากช่วยเหลือ ยิ่งถ้าเรามีตำแหน่งใหญ่ โตด้วยแล้ว ยิ่งต้องมีความสุภาพอ่อนน้อมเพราะจะทำให้ ผู้อื่นยิ่งเกรงใจเรามากขึ้น ตรงกันข้าม การทำตัวกระด้างกระเดื่อง หยาบคาย หยิ่งยโส ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคม และไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย
6. P-Professional
คือ ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน การที่เรามีหน้าที่อะไร เราก็ควรทำตัวให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในหน้าที่นั้นๆ หมั่นแสวงหาความรู้ใหม่ๆ และหมั่นฝึกปรือฝีมือในการทำงานอยู่เสมอ เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด การทำงานอย่างมืออาชีพ จะเป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจของเจ้านาย รวมไปถึงลูกค้าที่ย่อมจะพอใจ และไว้วางใจ ให้เราดูแลงานของเขาต่อไป
คาถา 6 P ที่นำมาฝากนี้ อยากให้นำไปปฏิบัติให้เป็นนิสัย รับรองว่ามันจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ คุณประสบความ สำเร็จ ในหน้าที่การ งานอย่างแน่นอน