วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บรรยายธรรม โดยท่านสุจินตนินท สุภกโร

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม 2553 เวลา 08.30-10.00 น.
สถานที่ บริษัทฟอยล์มาสเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ณ ห้องประชุม Colorit ชั้น 3




            หากตอนเช้าตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันแล้วถือเป็นการทำความดีเบื้องต้น ท่านเคยเห็นเด็กพิการที่นั่งรถวีลแชร์หรือไม่ บางคนมีแขนไม่มีขา ไม่มีโอกาสได้ใส่บาตร ทำบุญ ไหว้พระ  คนที่ได้ทำบุญ ตักบาตรถือเป็นบุญ บุญคือความดี เราโชคดีกว่า อย่าไปมองเป็นเรื่องอื่นให้มองเป็นเรื่องบุญ อย่าไปมองว่าเป็นพิธีรีตอง ทำแล้วไม่เห็นผล หน้าที่ของเราที่ทำแล้วมันมีผล เช่น การได้อยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง หรือสามีกับภรรยา ถ้าเราทำดีต่อกัน นี่ก็คือบุญ บุญก็จะส่งผลนำความสุขมาให้ เช่น แต่งงานแล้วมีความจริงใจต่อสามีหรือภรรยา มีความเอื้อเฟื้อต่อกัน พูดจาดีต่อกัน นี่ก็คือบุญ แต่ถ้าตรงกันข้ามหากมาจากต่างพ่อต่างแม่ และมาอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้แบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์ บาปก็เกิดขึ้น
                จากข่าวในหนังสือพิมพ์ เรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่แทงสามีตาย เพราะสามีไปทุบตีทำร้ายเขา ผู้หญิงเลยเอามีดแทง เมื่อเรามองในแง่ของทุกข์ตามอริยสัจ 4 พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจความจริง เช่น ความทุกข์เกิดขึ้นโดยมาจากสาเหตุ ความทุกข์ของผู้หญิงมาจากการถูกทุบตีทำร้าย ความทุกข์ของผู้หญิงคนนี้คือ เสียใจที่ได้เอามีดไปแทงสามีตาย นี่คือการทำบาป  ถ้าแบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์ เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกัน แม้มาจากต่างพ่อต่างแม่หากไปทุบตีทำร้ายเขา ก็คือบาป ทำให้เราต้องเข้าใจว่าบุญคืออะไร บาปคืออะไร
เรื่องเล่า
                 มีชายคนหนึ่งมีปัญหาในที่ทำงาน ไม่ถูกกับหัวหน้างาน เพราะถูกหัวหน้ากดขี่ ไม่ได้รับความยุติธรรม ซึ่งคนที่เป็นหัวหน้าก็มีอำนาจตามหน้าที่ของเขา วันหนึ่งมีคนเอาปืนมาจำนำกับเขา ก็เลยคิดว่าจะหาทางไปพบกับหัวหน้า เพื่อจะเอาปืนไปตบหัวหน้า คนเราพอมีอำนาจบางทีก็ลืม กรณีของหัวหน้าพอมีอำนาจก็ทำให้ลืมเรื่องของบุญไป ส่วนลูกน้องก็มีอำนาจคือมีอาวุธอยู่ในมือ วิธีการที่ลูกน้องคิดคือ จะเอาปืนไปตบหัวหน้าตอนที่ไม่มีใครอยู่ เพราะคนย่อมรักศักดิ์ศรีของตน ถ้าไปตบตอนคนเยอะๆ หัวหน้าไม่ยอมแน่นอนเพราะเขาละอาย ลูกน้องคิดเอาเองว่าถ้าไปตบตอนไม่มีใคร น่าจะไม่เป็นไร ทั้งสองคนนี้เมื่อเรามาศึกษาดู คนหนึ่งมีความทุกข์เพราะโดนกระทำ อีกคนทุกข์เพราะเผลอไป ไม่มีการแบ่งปันความสุข แบ่งเบาความทุกข์กันในการทำงาน แต่พอดีว่าลูกน้องมีเพื่อนซึ่งได้พูดให้ฟังว่า ถ้าเอาปืนไปตบเขาจะเป็นอย่างไร ในที่สุดลูกน้องก็ยับยั้งตนเองได้ ไม่ทำผิด คนบางคนที่ทำผิดเพราะคิดว่าตนเองทำอะไรถูกหมด จึงได้ทำลงไป พอทำไปแล้วก็เกิดปัญหา ตรงกันข้ามกับคนที่มีกัลยาณมิตร เมื่อมาตักเตือนก็เริ่มคิดได้ ไม่ลงมือทำก็มีความสุข บาปที่กำลังจะเกิดขึ้นในใจ เมื่อคิดได้ก็ถูกตัดไป เว้นไป ทำให้จิตใจของคนๆ นั้นสว่างขึ้น ความคิดที่เกิดขึ้นคือ สติ ที่เกิดขึ้นจากการมองว่าอะไรควรไม่ควร การฟังธรรมได้ประโยชน์ แม้จะไม่ใช่ในเชิงธุรกิจ แต่ก็ได้ประโยชน์ในการยับยั้งสิ่งต่างๆ  ได้ข้อคิดต่างๆ
                ในการฟังบรรยายธรรม หากมีชาวคริสต์มาร่วมฟังด้วย ถือว่าเป็นการได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนส่วนมากว่าเขามีความคิดอย่างไร เราจึงจะอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างเข้าใจ นี่ก็เป็นความดีอันหนึ่ง เช่น ชาวอิสลามตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อมาละหมาด วิถีชีวิตของเขาอยู่กับศาสนา มีความสุข เขาไม่เบื่อที่จะทำละหมาดวันละ 5 ครั้ง ส่วนของชาวพุทธมีวันพระเดือนละ 4 ครั้ง ในสมัยก่อนชาวพุทธมีวิถีชีวิตตามดวงจันทร์ วัน 1 ค่ำ ถึง 6 ค่ำ ก็ทำงานส่วนเด็กก็เรียนหนังสือ พอ 7 ค่ำ พระก็จะกวาดขยะเพราะวันรุ่งขึ้นคนจะมาทำบุญ พอ 8 ค่ำ ชาวพุทธก็จะไปทำบุญ ตักบาตรกันที่วัด ซึ่งเดือนหนึ่งก็มี 4 ครั้ง ส่วนชาวคริสต์วันอาทิตย์ตอนเช้าก็ไปโบสถ์ วันเสาร์เป็นวันครอบครัว ส่วนวันจันทร์ถึงศุกร์เป็นเรื่องทางกาย เสาร์กับอาทิตย์เป็นเรื่องทางจิต ส่วนชาวอิสลามอยู่ในวิถีชีวิตทุกวัน คือทำละหมาด ส่วนวันศุกร์ก็ไปสุเหร่า ศาสนาอิสลามบัญญัติให้ชาวอิสลามทุกคนต้องไปละหมาดที่สุเหร่าในวันศุกร์ จะขาดไม่ได้ยกเว้นจำเป็นจริงๆ หากไม่ไป 3 ครั้งติดกันถือว่ามีมลทิน จะไม่มีคนคุยด้วย เป็นการควบคุมทางสังคม ให้คนเข้าหาศาสนา เพื่อให้รู้ว่าพระเจ้าสอนอะไร หากชาวพุทธก็ต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้เรื่องของทุกข์และการดับทุกข์ สอนให้เรารู้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นดับได้ ดับทุกข์ได้โดยดับอริยสัจ 4 สุข-ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการกระทำไม่ได้มาจากเทวดาหรือสิ่งอื่นเลย ความสุขก็คือบุญ ส่วนความทุกข์ก็คือบาป การดับทุกข์ได้ก็เป็นกุศล
การตั้งตนไว้ชอบและการให้
                จากฟอร์เวิร์ดเมลล์ เป็นเรื่องราวซึ้งๆ ของหญิงสาวตาบอดคนหนึ่ง ที่เกลียดตนเอง เกลียดโชคชะตาที่ทำให้เธอตาบอด จนพาลไปเกลียดทุกๆ คนรอบตัวเธอไปด้วย แต่ทว่าเธอกลับทุ่มสุดหัวใจ รักแฟนหนุ่มที่ทำทุกอย่างเพื่อเธอ และให้กำลังใจเธอในทุกๆ สถานการณ์ เธอบอกกับแฟนหนุ่มของเธอว่า ถ้าฉันได้กลับมาเห็นโลกที่สวยงามอีกครั้ง ฉันจะแต่งงานกับเธอ  และแล้ววันหนึ่งได้มีผู้ใจบุญบริจาคดวงตามาให้เธอ หลังจากการผ่าตัดที่ผ่านพ้นไปด้วยดี แล้วก็มาถึงวันที่ถอดผ้าพันแผลออก ทำให้เธอได้มองเห็นโลกอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งได้เห็นแฟนหนุ่มที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอด แล้วแฟนหนุ่มก็ถามเธอว่า ผมดีใจที่คุณมองเห็นอีกครั้งหนึ่ง ผมอยากจะขอคุณแต่งงานตามที่สัญญากันไว้ คุณจะแต่งงานกับผมไหมครับ  หญิงสาวมองหน้าแฟนหนุ่มของเธอและเห็นว่า แฟนหนุ่มของเธอนั้นตาบอด เธอตกใจอย่างมากกับตาที่ปิดสนิทของแฟนหนุ่ม และไม่คาดฝันมาก่อนว่าแฟนหนุ่มของเธอนั้นตาบอด เธอคิดว่าเธอคงทนไม่ได้ที่จะต้องอยู่ต้องเห็นแฟนหนุ่มที่ตาบอดนี้ไปตลอดชีวิตของเธอ ทำให้เธอปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเขา แฟนหนุ่มของเธอจากไปพร้อมกับความเศร้าโศกเสียใจและน้ำตาที่นองหน้า และหลายวันต่อมาเธอก็ได้พบข้อความที่แฟนหนุ่มเขียนให้เธอว่า ช่วยดูแลดวงตาของคุณให้ดีที่สุดนะครับ เพราะก่อนที่ตาคู่นี้จะเป็นของคุณ มันเคยเป็นของผมมาก่อน
                นี่คือเรื่องราวที่อาจจะเกิดกับใครหลายๆ คน โดยเมื่อสถานะของเราเปลี่ยนแปลงไป ก็ทำให้ความคิดเปลี่ยนตามไปด้วย บางคนลืมไปเลยว่าชีวิตในอดีตของตนเคยเป็นอย่างไรมาก่อนหน้านี้ ลืมสิ่งที่เคยมีความสำคัญกับเราอย่างมากในอดีต และบางครั้งก็ลืมไปว่าใครที่เคยอยู่เคียงข้างเรา ช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ชีวิต คือ ของขวัญอันล้ำค่า
                ในทุกวัน ก่อนที่เราจะพูดถ้อยคำที่หยาบคายหรือทำร้ายจิตใจใครออกไปนั้น จงนึกถึงคนที่ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เปล่งเสียงพูดออกมา
ก่อนที่จะบ่นถึงรสชาติอาหารที่รับประทาน  จงนึกถึงคนที่ไม่มีแม้แต่อาหารที่จะกินในแต่ละมื้อ
ก่อนที่เราจะบ่นถึงข้อเสียของภรรยาหรือสามีนั้น จงนึกถึงคนที่เฝ้าสวดมนต์ขอพรเพียงเพื่อจะมีเพื่อน หรือคนมาเคียงข้างเท่านั้น
ก่อนที่เราจะบ่นถึงการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน จงนึกถึงบางคนที่ต้องเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย
ก่อนที่เราจะบ่นเรื่องลูกๆ ของเรา จงนึกถึงคนที่พยายามอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถแม้แต่จะมีลูกได้
ก่อนที่เราจะว่าบ้านเราสกปรกรกรุงรัง เพราะสมาชิกในบ้านไม่ใส่ใจทำความสะอาด จงนึกถึงคนที่ต้องใช้ชีวิตอันแสนลำบากอยู่ข้างถนน
ก่อนที่จะบ่นและรู้สึกท้อกับระยะทางที่คุณต้องขับรถไป จงนึกถึงคนที่จำเป็นต้องเดินทางในระยะทางเดียวกับเราด้วยการเดินเท้า
และก่อนที่เราจะรู้สึกเหนื่อย ท้อและบ่นถึงงานที่ทำและรับผิดชอบอยู่ จงนึกถึงผู้พิการที่ยินดีจะแลกทุกอย่างเพียงเพื่อมีโอกาสได้ทำงานแบบเรา
ก่อนที่เราจะชี้มือด่าว่า หรือวิจารณ์ข้อผิดพลาดของผู้อื่น จงคำนึงว่าเราทุกคนต่างก็เคยมีความผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น
และเมื่อความรู้สึกสลดหดหู่พยายามจะทำให้เรารู้สึกต่ำต้อย จงต่อสู้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเรา และคิดเสมอว่า เรายังมีชีวิตที่เป็นของขวัญอันล้ำค่าอยู่
****************************

เมื่อใดก็ตามที่เราพยายามมองคนอื่น ไม่พยายามมองที่ตัวเราปล่อยให้กระแสภายนอกมาควบคุมจิตใจของเรา ควบคุมกายเรา เราก็อาจทำผิดได้
ถ้าเราศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ท่านเคยเห็นพระพุทธรูปหรือไม่ พระพุทธรูปนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า เป็นรูปเปรียบให้นึกถึงพระพุทธเจ้า หากเราเข้าใจว่าพระพุทธรูปเกิดจากอิฐ หิน ปูน ทรายก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าเราเข้าใจอย่างถูกต้อง เมื่อมองที่ใบหน้าพระพุทธรูป เห็นดวงตาของพระพุทธรูปที่มองต่ำลงมา ท่านสอนว่า เราต้องมองตัวเราให้ดีที่สุด มองในหน้าที่การงานที่เรารับผิดชอบให้ดีที่สุด สำรวจให้ดีที่สุด สอนให้มองตนเองพิจารณาตนเอง ตักเตือนแก้ไขตนเองไม่ใช่คอยจับผิดผู้อื่น
ในการทำงานย่อมมีความพอใจหรือไม่พอใจบ้าง มีโอกาสมากกว่าคนอื่นบ้าง แต่เราต้องทำใจเราให้หนักแน่นเหมือนใบหูทั้งสองข้างของพระพุทธรูป คือ เราต้องทำใจให้หนักแน่นอยู่ 2 เรื่อง คือ 1. หูด้านขวา (Positive) คือ ความยินดี ความพอใจที่เราได้ 2. หูด้านซ้าย (Negative) คือ ความสูญเสีย ความไม่ได้ดั่งใจ ความต้อยต่ำมากกว่าคนอื่น ถ้าใจเราไม่หนักแน่นก็อาจทำผิดได้ ดังเช่นในกรณีของลูกน้องที่โดนหัวหน้ากลั่นแกล้ง พอตัวเองได้ปืนมาหากใจไม่หนักแน่น ก็อาจทำผิดได้ แต่พอดีว่าได้ข้อคิดดีๆ จากเพื่อนมา ก็รู้สึกผ่อนคลายลง สบายใจ เมื่อเราไปกราบพระขอให้คิดว่าพระพุทธเจ้ากำลังสอนเรา ให้ทำจิตใจให้หนักแน่นอยู่ 2 เรื่อง คือทั้งเรื่องบวกและลบ จะเป็นเรื่องที่ยินดีพอใจหรือเจอเรื่องร้ายมาก็ให้ระมัดระวัง อย่าทำบาป เป็นเรื่องของใจที่ตาสองตามองต่ำ ใจของเราต้องดูตัวเราเองในหน้าที่ของความเป็นพ่อแม่ คนทำงาน เป็นพลเมืองของชาติ หรือหน้าที่ทางศาสนา ให้มองที่ตัวเรา และต้องทำใจให้หนักแน่น
และที่เศียรของพระพุทธรูปตรงเส้นพระเกศาหรือเส้นผมที่ขมวดเป็นปมเปรียบเสมือนก้นหอย ซึ่งจริงๆ แล้วพระเกศาของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนที่ปั้นพระพุทธรูปต้องการสื่อว่า คนเราเวลามีความทุกข์จะเป็นตัวเงื่อน เวลาทะเลาะกันจะมีตัวเงื่อน ตัวเล็กน้อยที่เราเก็บไว้ หยิบยื่นความทุกข์ให้กันทีละนิดๆ แล้วจึงค่อยมาทะเลาะกัน เป็นตัวเงื่อนตัวปัญหา ไม่ใช่อยู่ที่ศีรษะ แต่จริงๆ แล้วอยู่ที่ใจเรา ปัญหาเกิดขึ้นที่ใจ เราต้องใช้ปัญญา ความสงบ ความบริสุทธิ์ เช่น ที่บนพระเศียรของพระพุทธรูปอาจจะมีรูปดอกบัวหรือเปลวเพลิง หมายความว่า เวลาเราเจอปัญหาด้านบวกก็ดี ด้านลบก็ดี เราจะต้องใช้ปัญญาในการแก้ ปัญญาเปรียบเสมือนแสงสว่างที่จะแก้ปัญหา ทิ่มแทงปัญหา ดับทุกข์ที่เกิดจากใจเราได้ หรือบางอย่างต้องใช้ความบริสุทธิ์ใจในการคิด ในการแก้ไขการทำงาน ถ้าเราทำอะไรด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ แม้จะเป็นหน้าที่มันก็สร้างความทุกข์ได้ บางอย่างต้องแก้ด้วยความบริสุทธิ์ อันความบริสุทธิ์ใจในการทำตามหน้าที่ อย่างถูกต้องอย่างเป็นธรรม เหมือนกับดอกบัวบนพระเศียรของพระพุทธรูป ดอกบัวเปรียบเสมือนกับจิตของเรา ดอกบัวมันเกิดจากโคลนตมและพัฒนาตนเองจนโผล่เหนือน้ำขึ้นมาบานได้ ในที่นี้หมายถึงคนเรามีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อเจอทุกข์เราจะพัฒนาการของความทุกข์อย่างไร ให้เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อการสร้างปัญหาหรือสร้างทุกข์ ดอกบัวที่บริสุทธิ์ เวลาโผล่ขึ้นจากน้ำมันก็บริสุทธิ์จากน้ำจากโคลนตม เขาจึงนำดอกบัวมาบูชาพระ
มุมมองจากเรื่อง คนเราอยู่ด้วยกันในสังคม เราจะอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยการแบ่งปัน ด้วยการให้ จะอยู่อย่างถูกต้องหรือไม่ก็ต้องตั้งตนไว้ชอบ ถ้าอยู่ร่วมกันด้วยการให้ ด้วยการแบ่งปัน ก็จะอยู่ด้วยความสงบสุข อยู่อย่างมีความสุข
คนที่อยู่ในองค์กรอาจจะมาจากต่างภาค ต่างจังหวัด แต่เมื่อมาอยู่ร่วมกันในองค์กร ก็ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้องอยู่อย่างแบ่งปัน เอื้อเฟื้อ เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่ร่วมกันด้วยการแบ่งปัน รู้จักให้  อยู่ร่วมกันโดยตั้งตนไว้อย่างถูกต้อง ความสุขก็เกิดขึ้น
ความห่วงใย ความรักที่เรามีต่อกัน แบ่งปันต่อกัน  คนที่ทำงานร่วมกัน แต่ต่างหน้าที่กัน เช่น เซลส์ต้องออกภาคสนาม ขับรถเหนื่อย ส่วนอีกคนทำงานอยู่ในออฟฟิศ สบายๆ ก็ควรช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจกัน
เมื่อเหนื่อย เมื่อมีความทุกข์ก็ควรแบ่งเบาซึ่งกันและกัน เช่น  แมวต่างสีเปรียบเสมือนคนที่มาจากต่างท้องถิ่นกัน เมื่อมาอยู่ร่วมกันก็ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อความสุขในการอยู่ร่วมกัน หัวหน้ากับลูกน้องแบ่งปันกัน เช่น นิทานเรื่องม้ากับลา
นิทานเรื่องม้ากับลา
                อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้าขายผ้าไหมคนหนึ่งจะเดินทางไกลใช้ม้ากับลาในการบรรทุกของ แบ่งผ้าอย่างละหีบหนักเท่ากัน เดินตั้งแต่เช้าถึงใกล้เที่ยง ลาเดินนำหน้าส่วนม้าเดินตามหลัง  ก่อนเที่ยงลาก็พูดกับม้าว่า พี่ม้าช่วยฉันหน่อย ฉันเหนื่อยเหลือเกิน พี่ม้าช่วยแบ่งไปหน่อยได้ไหม ม้าตอบว่า เหนื่อยก็เรื่องของแก แกอยากเกิดมาตัวเล็กทำไม เจ้าลาก็หันกลับมาเดินใหม่ บ่นว่าเหนื่อยก็ไม่เห็นช่วยเลย พอตอนเที่ยงลาก็มีความรู้สึกว่าตัวเองจะไม่ไหวแล้ว เลยบอกกับพี่ม้าว่าช่วยหน่อย ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ถ้าพี่ม้าไม่ช่วยฉันต้องตายแน่ๆ ม้าก็บอกว่าตายก็เรื่องของแกไม่ใช่เรื่องของฉัน พอลาได้ยินดังนั้น เหนื่อยทางกายก็พอแล้ว ต้องมาเหนื่อยทางใจอีก ก็เลยสิ้นใจล้มลงตายตรงนั้นเลย ทำให้พอลาตายของอีกครึ่งที่เหลือม้าก็ต้องเป็นคนแบกต่อ เมื่อเดินต่อม้าก็คิดได้ว่า หากช่วยลาก็คงไม่ต้องเหนื่อยแบกเองทั้งหมดคนเดียว พอเดินเลยเที่ยงไปสัก 2-3 ชั่วโมง เจ้าของเริ่มเหนื่อยจึงขึ้นขี่หลังม้า ทำให้ม้าเหนื่อยยิ่งขึ้นจึงล้มลงขาดใจตาย สุดท้ายผ้าที่เหลือเจ้าของก็เป็นคนแบกเองต่อไป
ในหน่วยงานเราก็เหมือนม้ากับลา ม้าเปรียบเสมือนคนที่ทำงานมีประสบการณ์ หากเราหวงไม่แบ่งปันประสบการณ์ให้รุ่นน้อง บางทีเราก็ต้องเหนื่อยเอง
สอนให้รู้ว่า คนเราเมื่ออยู่ร่วมกันต้องอยู่ด้วยการแบ่งปัน เรื่องนี้โทษใครไม่ได้ เพราะไม่รู้จักการให้และแบ่งปัน จึงไม่มีความสุข
ส่วนเรื่องการทำงานที่ทำด้วยความขยันหมั่นเพียร เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานที่ไม่ได้ทำเพราะความทุกข์ คนไหนที่มีความสามารถ ขยัน รับผิดชอบมากกว่าก็ประสบความสำเร็จ ถ้าเราอยู่ด้วยกัน ถ้าเราอยู่กันแบบเพื่อนที่ดี อยู่แบบครอบครัวก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ก็จะมองไปที่ข้างหน้า มองอนาคต ขยายบริษัท ขยายตลาด ความทุกข์หายไปเพราะเราได้ช่วยกันทำหน้าที่ช่วยกันทำงานให้บริษัทผ่านพ้นจากวิกฤต เกิดความมั่นคงได้ เราต้องมองข้างหน้าต่อไป
คนเก่าที่ทำงานมานานแล้วย่อมมีประสบการณ์ มีความชำนาญ หากได้แบ่งปันความรู้ ทักษะ คนที่มาใหม่ก็จะทำงานอย่างมีความสุข อยู่กันแบบพี่สอนน้องหรือแม่สอนลูก ที่จะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เราก็จะทำงานอย่างมีความสุข
ธรรมะ คือ สิ่งที่ทำให้เราเกิดความสุข เมื่ออยู่ร่วมกันที่เกิดจากการแบ่งปัน ได้ฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน หากเจ้านายมีวิสัยทัศน์อย่างหนึ่ง แต่ลูกน้องไม่ทำตาม ก็จะเกิดปัญหา เราต้องรู้ว่าวิสัยทัศน์อะไรเป็นอะไร  มันเหมือนกับงานที่เราต้องทำต่อไป ไม่ใช่จมอยู่กับปัญหาเก่าที่ต้องแก้แล้วแก้อีก
พอใจในหน้าที่การงานของเรา หากอยู่ด้วยการแบ่งปัน การแบ่งปันก็จะทำให้เกิดความสุข เกิดพลัง
พอเรามีวิสัยทัศน์ก็ทำงานเข้มแข็ง ทำงานแล้วต้องเหลียวหน้าดูหลังบ้าง ว่าเราผ่านมาได้อย่างไร บางทีเราอาจลืมไป เวลาเกิดทะเลาะกัน ต้องมองข้างหลังบ้างว่าตอนที่เรามาสมัครงานใหม่ๆ เรามีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหัวหน้า พออยู่ถึงจุดหนึ่งก็เริ่มโตขึ้นก็เลยลืมมองข้างหลัง
บางครั้งในการทำงานเรามีจิตใจขาว บางครั้งก็จิตใจดำ แต่ทำอย่างไรถึงจะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้  ทำงานด้วยกันได้ ก็คือต้องมีสติ ทำใจให้สงบ แม้จะโดนขาวหรือความพอใจมาบีบคั้นเรา เราอาจไม่พอใจในหน้าที่ของเรา หรือโดนดำคือความน้อยเนื้อต่ำใจ เข้ามารุมเร้า หากเรามองแบบมีวิสัยทัศน์ มองด้วยความเอื้อเฟื้อ มองแบบการแบ่งปันก็จะอยู่ด้วยกันได้ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความหลงระเริงก็จะไม่เข้ามาทำลายจิตใจเรา
สรุป ให้ข้อคิดว่าอยู่ด้วยการแบ่งปัน การให้ การตั้งตนไว้ชอบ ถ้าเราอยู่กันแบบนี้ก็จะมีความสุข ขาดส่วนหนึ่งส่วนใดไม่ได้ เช่น ถ้าหากมือขาดนิ้วก้อยไปก็ไม่สวย มือต้องมีครบ 5 นิ้ว ในการยกของต้องใช้ 5 นิ้วถึงจะยกได้ เปรียบเหมือนกับการทำงานต้องช่วยเหลือกัน งานถึงจะเดินได้
การรู้จักให้ การทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้อง คือ การตั้งต้นไว้ชอบ (ก่อการให้) เป็นมงคลที่ 6 อตฺตสมฺมาปณิธิ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ซึ่งแปลว่า การตั้งตนไว้ชอบ จัดว่าเป็นอุดมมงคล

เรื่องเล่า การตั้งตนไว้ชอบก่อการให้
                มีผอ. เขตพื้นที่การศึกษาแห่งหนึ่ง กำลังมีความทุกข์ ได้เล่าให้พระอาจารย์ฟังว่า ตัวเขาเคยมีเลขาคนหนึ่งก่อนที่จะย้ายมาเป็นผอ. ที่นี่ ซึ่งเขารักอดีตเลขาเหมือนน้องสาว อยู่มาวันหนึ่งเขาได้รับข้อความจากสามีของอดีตเลขา สามีขอร้องว่าอย่าติดต่อกับภรรยาของเขาอีก เขารู้ว่าภรรยามีการส่งรูปส่งข้อความมาให้ ท่านผอ. ก็เลยเลิกติดต่อ อดีตเลขาก็โทรมาถามว่าไม่คิดถึงน้องสาวหรือไร ถึงไม่โทรติดต่อเลย  ท่านผอ. ไม่ได้คิดกับอดีตเลขาในทางชู้สาวเลย แต่สามีของเขาไม่ชอบใจ ในที่สุดท่านผอ. เลยตัดสินใจไม่รับโทรศัพท์จากอดีตเลขา อดีตเลขาก็เลยส่งข้อความมาให้ในเชิงน้อยใจ ท่านผอ. ก็รู้สึกไม่สบายใจ เลยมาคุยกับพระว่าทำถูกหรือไม่ เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้พระอาจารย์นำมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องการตั้งตนไว้ชอบ พระอาจารย์ได้ตอบท่านผอ. ไปว่าทำถูกต้องแล้ว ทุกคนมีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าท่านผอ. สงสาร โทรไปหา ทุกข์ที่เป็นบาปอาจเกิดขึ้นในใจของหลายๆ คนได้  เช่น สามีของเขาอาจจะไม่สบายใจ เป็นทุกข์มาก อาจจะเข้าใจผิด ท่านผอ. ไม่ต้องห่วงอดีตเลขา เขาอาจจะไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง แต่เราก็ต้องทำในสิ่งที่มันจะไม่เป็นทุกข์ การที่ท่านผอ. ทำแบบนี้ถือเป็นการตั้งตนไว้ชอบ
                ถ้าตั้งตนไว้ไม่ชอบ ไปติดต่อกับเลขาก็อาจทำให้เกิดบาปขึ้นได้ คือ อาจเกิดการทะเลาะกันได้ สามีอาจจะไม่พอใจ
                จากเรื่องนี้ทำให้พระอาจารย์นึกถึงธรรมบทเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เป็นเหตุเป็นผล ว่าทำอะไรไว้แล้วจะเป็นอย่างไร ก็เลยเล่าให้ท่านผอ.ฟัง เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า มีปลาตัวสีทองตัวหนึ่งถูกจับได้ แต่ตัวมันเหม็นมาก ชาวประมงก็เลยนำไปถวายพระราชา แต่ท่านแปลกใจเลยนำไปถวายให้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปลาสีทองตัวนี้อดีตชาติเคยเกิดเป็นภิกษุ คือเป็นภิกษุ 3 พี่น้องที่ศรัทธาในพระพุทธเจ้าเลยบวช ซึ่งทั้งสามคนนี้ฉลาดมาก แต่ที่มีปัญหาคือ มี 2 คนที่ตั้งตนไว้ไม่ชอบ พอศึกษาหลักธรรมแล้วเห็นอีกอย่างหนึ่ง ก็เลยอวดตัวเองว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน รู้เอง ทำให้น้องชายเตือนว่าเราบวช เพราะเราศรัทธาในพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา พี่ๆ ไม่ควรลบหลู่ดูหมิ่นพระพุทธศาสนา แต่ความอวดดีของคนก็ทำให้ทำผิดได้ ในที่สุดพอมรณภาพไป ก็เลยเกิดมาเป็นปลาตัวสีทองที่มีตัวเหม็นนั่นเอง
                ถ้าทำอะไรแล้วตั้งตนไว้ไม่ชอบจะเกิดปัญหา เปรียบเทียบให้ท่านผอ. ฟังว่า ตำแหน่งของท่านเป็นผู้นำเขตพื้นที่การศึกษา เป็นบุคคลที่มีค่า เหมือนปลาที่มีสีทอง แต่ถ้าเราทำตนให้เป็นปัญหา มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้น ก็จะทำให้เสียชื่อเสียงได้ เหมือนปลาที่เหม็นเน่า ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
                เราจบการศึกษามาได้ เป็นผู้เป็นคนได้ก็มาจากการให้ของพ่อกับแม่ เราอยู่มาได้ด้วยการต้องรู้จักแบ่งปัน การให้ และการตั้งตนไว้ชอบ มันจึงจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ มีความรู้ ความสามารถ
                ส่วนความทุกข์ของเลขา เขาต้องปรับความคิดใหม่ เมื่อใดที่แสงสว่างคือปัญญาเกิดขึ้นในใจเรา รู้ว่าอะไรคืออะไร เขาก็สามารถดับทุกข์ได้ ถ้าไม่ปรับความคิดก็ต้องทุกข์ต่อไป
นิทานเรื่องคนเลี้ยงไก่
                ในการทำงานอาจจะเหมือนการเลี้ยงไก่ก็ได้ เป็นเรื่องของคนเลี้ยงไก่ 2 คน ซึ่งเลี้ยงไก่ที่ฟาร์ม พอเลี้ยงไก่เสร็จตอนเย็นคนหนึ่งก็นำขี้ไก่กลับบ้าน ชาวบ้านก็เหม็นขี้ไก่ ก็เลยไล่ไปไกลๆ ส่วนอีกคนนำไข่ไก่กลับมาบ้าน คนก็มาขอไข่ไก่ พอถึงบ้านภรรยาก็นำไข่ไก่ไปทำอาหาร ที่เหลือเก็บเข้าตู้เย็น ในการทำงานก็เหมือนกับการเลี้ยงไก่ การเลี้ยงไก่คือการทำหน้าที่ เมื่อเราทำงานอยู่ในบริษัท อย่าเอาปัญหาของบริษัทหรือความไม่พอใจมาเป็นตัวต้นในการทำงาน  อย่าเอาแต่อารมณ์ ถ้าใช้อารมณ์ก็เหมือนเอาขี้ไก่กลับบ้าน ทุกคนกินแต่ไข่ไก่ หากเรากลับเอาขี้ไก่มาถือ เราจมอยู่กับความไม่พอใจ ความไม่ได้ดั่งใจ ความไม่ถูกใจกันระหว่างคนหรือกลุ่ม ก็จะทำให้เกิดปัญหาในการอยู่ร่วมกัน ทำให้ไม่มีความสุข
                คนที่นำขี้ไก่กลับบ้าน ไปไหนก็ไม่มีคนอยากคุยด้วย  เรามาทำงานก็เหมือนกับฟาร์มเลี้ยงไก่ ปัญหามีบ้าง แต่เมื่อเรากลับบ้านแล้วก็ไม่ควรเอาขี้ไก่กลับบ้าน  เหมือนนางวิสาขาที่พ่อได้สอนไว้ว่า เวลาแต่งงานไปแล้ว ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า หมายความถึง อย่านำเรื่องที่บ้านไปเล่าที่ทำงาน หรืออย่านำเรื่องที่ทำงานไปเล่าให้ที่บ้านฟัง ที่ทำงานก็คือที่ทำงาน ที่บ้านก็คือที่บ้าน ที่บ้านเป็นสถานที่ที่เราแบ่งปันความสุขกัน แบ่งเบาความทุกข์ ไม่ใช่นำปัญหาไปฝากหรือบ่นให้ฟัง การทำงานก็เหมือนกับการเลี้ยงไก่ บางคนฉลาดในการที่จะเอาไข่ไก่ บางคนไม่ฉลาดเวลาเจอปัญหาก็จะมีความทุกข์ เอาปัญหามาเป็นที่ตั้ง ถือเอาความไม่พอใจมาเป็นที่ตั้ง
                สรุป เราทำงานเพื่ออะไร? เราทำงานเพื่อความสุข ความก้าวหน้า เพื่อให้มีปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และปัจจัยที่ 5 คือ โทรศัพท์มือถือ เราต้องรู้จักพอใจและพอเพียงในการใช้จ่าย  หากไม่พอใจ ไม่พอเพียง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าก็เหมือนกับความรู้สึกของคน เวลาฝนตกก็ไปด่าฝน  ฝนนั้นเป็นทองสูงท่วมเท่าภูเขา ยังไม่พอกับความต้องการของคน เพราะคนไม่รู้จักพอ
                มีอีกประเด็นหนึ่งเรื่องความทุกข์  เป็นเรื่องของแมงมุมตัวหนึ่งรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยกว่าคนอื่น มีทุกข์มาก เวลาไปอยู่ที่กุฏิ หลวงพี่ก็ทำความสะอาดตลอดเวลาไปอยู่ตรงไหนก็ไม่ได้ แมงมุมก็คอยกางใยไปพอเวลาหลวงพี่เปิดไฟหรือเปิดหน้าต่างก็อาจมีแมลงบินเข้ามาติดกับได้ แต่หลวงพี่ก็คอยปัดกวาดอยู่เรื่อย ก็สร้างใยไม่ได้ แมงมุมก็น้อยใจเสียใจ คิดว่าขนาดอยู่ที่วัดหลวงพี่ก็ยังรังแก จึงได้ตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย ก็เลยเดินออกจากวัดไป รถวิ่งมาพอดีก็เลยกระโดดไปอยู่กึ่งกลางล้อพอดี แต่ก็ไม่ตาย ก็เลยคลานออกไป บ่นตามทางไปเรื่อยๆ พอดีได้เจอกับแมงมุมแก่ตัวหนึ่ง แมงมุมแก่ก็ถามว่าบ่นเรื่องอะไร ทำไมถึงอยากฆ่าตัวตาย แมงมุมก็เลยเล่าว่าไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ขนาดจะสร้างบ้านในวัดก็ยังไม่ได้เลย น้อยใจมาก จะฆ่าตัวตายก็ยังไม่ตาย จะไปอยู่ที่ไหนดีในโลกนี้ แมงมุมแก่เลยแนะนำที่ที่หนึ่งให้ว่าไปอยู่ได้ มีความสุขแน่นอน คือให้ไปอยู่ในตู้บริจาคของสำนักแม่ชี แมงมุมก็เลยไปอยู่อย่างสุขสบาย เพราะตู้บริจาคของสำนักแม่ชีส่วนมากไม่มีคนบริจาค เพราะคนไปติดเรื่องที่ว่าความเป็นพระมากกว่า แต่ในทางพระพุทธศาสนาอยู่ที่การให้ รู้จักแบ่งปัน หากเป็นภิกษุณีมีสำนักแม่ชีเราก็ควรให้การสนับสนุน แต่บางทีเราก็ไม่ได้แบ่งปัน หากเป็นผู้หญิงแล้วมีความทุกข์ การไปสำนักแม่ชีอาจจะช่วยแบ่งเบาได้มากกว่า เพราะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แมงมุมก็เลยมีความสุขเมื่อได้อยู่ในตู้บริจาคของแม่ชี
                ในสังคมใดก็ตาม ถ้าเรามีการแบ่งปันกันสังคมก็จะเข้มแข็ง จิตใจของคนเราอาจเหมือนแมงมุมก็ได้ หนีไปเถอะเวลามีความทุกข์ พออยู่บริษัทนี้แล้วไม่มีความสุข ไม่พอใจเลยไปอยู่บริษัทอื่น เพราะไม่รู้จักความพอเพียง ในที่สุดแล้วก็หนีตัวเองไปไม่พ้น เวลาทำอะไรต้องรู้จักระมัดระวัง มีใจหนักแน่น มีปัญญา มีวิสัยทัศน์ ต้องรู้จักเหลียวหน้าดูหลังบ้าง แล้วชีวิตจึงจะมีความสุข เหลียวหน้าดูหลังดูคุณพ่อบ้าง  เวลามีลูกก็ต้องสนใจคุณพ่อคุณแม่บ้าง ไม่เช่นนั้นลูกจะเอาเป็นแบบอย่าง ไม่สนใจไม่ดูแลเช่นกัน
                ถ้าเราตั้งตนไว้ชอบก่อการให้แล้วก็ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง คือไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น  ถ้ามีความทุกข์ตั้งเค้ามาแล้ว แล้วเรารู้จักตั้งตนไว้ชอบก็จะดับทุกข์ได้


                                                                                                                                                                                              สรุปโดย
                                                                                                                                                                                         สุวัชรี  โอวาทวิจัย



วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เพื่อนแท้

มีแต่เพื่อน(สหาย) แท้ จึงเชื่อใจและมั่นใจในตัวท่าน มิว่าเรื่องใด พวกเขาย่อมเข้าใจ แม้ท่านกระทำผิดจริง สหายยังยอมให้อภัย

คำคม ข้อคิดเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

-  ยิ่งเราให้มากเท่าไร เราก็ได้รับกลับมามากเท่านั้น
       The more you give , The more you get.       

     -   รังแกคนอื่นเราไม่ แต่ป้องกันตัวเองต้องมี

     -   ไม่คิดก็ไม่มี

     -  อ่อนน้อมแบบไทย ตรงเวลาแบบฝรั่ง ขยันแบบจีน ทำงานเป็นทีมแบบญี่ปุ่น
      -  มีเม็ดทรายนับไม่ถ้วนจำนวนทราย           คนทั้งหลายนับไม่ถ้วนในคุณค่า
         เม็ดทรายเกร่งก็เพราะผ่านกาลเวลา            คนจะกล้าก็เพราะผ่านการอดทน.

       - เรือที่เทียบท่าจะอยู่อย่างปลอดภัย    แต่นี้มิใช้เป้าหมายที่สร้างมันขึ้นมา(วิลเลียม เชคค์).
       - คนที่ยิ่งใหญ่จะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ไม่มองอะไรแคบๆ ตื้นๆ รู้จักการลงทุน อดทน  รอคอย   
          เพื่อให้ได้ในสิ่งที่มีค่า ยิ่งใหญ่กว่า ไม่มองอะไรตื้นๆ คิดสั้น ๆ เอาง่ายๆ.

       - มนุษย์มีความซื่อสัตย์ในตัวโดยสันดานแต่ถ้าคุณเอากฎหมายใส่กระเป๋ามาเต็มกำลังอีกฝ่ายก็
         จะทำตามเหมือนกัน.

ความดี จงสถิตถาวรเถอะ

ความดี
       คุณธรรมแห่งคุณงามความดีทั้งหลาย จะพึงบังเกิดได้แก่ชนทั่วไป หากชนผู้นั้นตั้งตนมั่นอยู่ในความดีทั้งปวง ความดีที่ว่า  คือ
1.            จงกล้าที่จะคิด พูด ทำอยู่ในสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย
2.            ขอให้ตั้งมั่นที่จะเป็นคนดีต่อไป หากแม้นว่าจะมีสิ่งอื่น อันเป็นทุกข์ เข้ามากระทบต่อใจเรา
3.            จงมีเมตตาและกรุณา รักคนอื่นเหมือนรักตัวเรา แบ่งปันความสุขแก่สิ่งรอบข้าง
4.            จงเกรงกลัวและละอายต่อบาป
5.            จงแสวงหาแต่สิ่งที่ดีๆ ที่เป็นบุญกุศลใส่ตัวใส่ใจสืบ ๆ ไป
หากทำได้เช่นนี้ ใจของเราก็จะดีก็จะสุข ความดีความสุขก็จะมาอาศัยอยู่ในตัวเรา  ตัวของเราก็จะมีคุณค่าขึ้นมาทันใดเพราะตัวเราเป็นผู้มี ธรรม นั่นเอง
 ...ท่านดาไลลามะ เคยกล่าวไว้ว่า ปัญหาของมนุษย์ทุกวันนี้ คือ ความพร่องจิตวิญญาณ และการแก้ไขปัญหาของมนุษยชาติ คือ  การปฏิวัติทางจิตวิญญาณ (Spiritual Revolution) 
                                      จากหนังสือ ปรัขญา คำคม การดำเนินชีวิต ก. สังข์ทอง

ความดี จงสถิตถาวรเถอะ

ความดี
       คุณธรรมแห่งคุณงามความดีทั้งหลาย จะพึงบังเกิดได้แก่ชนทั่วไป หากชนผู้นั้นตั้งตนมั่นอยู่ในความดีทั้งปวง ความดีที่ว่า  คือ
1.            จงกล้าที่จะคิด พูด ทำอยู่ในสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย
2.            ขอให้ตั้งมั่นที่จะเป็นคนดีต่อไป หากแม้นว่าจะมีสิ่งอื่น อันเป็นทุกข์ เข้ามากระทบต่อใจเรา
3.            จงมีเมตตาและกรุณา รักคนอื่นเหมือนรักตัวเรา แบ่งปันความสุขแก่สิ่งรอบข้าง
4.            จงเกรงกลัวและละอายต่อบาป
5.            จงแสวงหาแต่สิ่งที่ดีๆ ที่เป็นบุญกุศลใส่ตัวใส่ใจสืบ ๆ ไป
หากทำได้เช่นนี้ ใจของเราก็จะดีก็จะสุข ความดีความสุขก็จะมาอาศัยอยู่ในตัวเรา  ตัวของเราก็จะมีคุณค่าขึ้นมาทันใดเพราะตัวเราเป็นผู้มี ธรรม นั่นเอง
 ...ท่านดาไลลามะ เคยกล่าวไว้ว่า ปัญหาของมนุษย์ทุกวันนี้ คือ ความพร่องจิตวิญญาณ และการแก้ไขปัญหาของมนุษยชาติ คือ  การปฏิวัติทางจิตวิญญาณ (Spiritual Revolution) 
                                     จากหนังสือ ปรัชญา คำตม การดำเนินชีวิต

ความดี จงบอกต่อ

แนวคิดของคูเปอร์ :  ผู้ปฏิบัติงานย่อมต้องการสิ่งจูงใจต่าง ๆ  เพื่อสนองความต้องการ  ของตน
                            1. การได้ทำงานที่เขาสนใจ
                            2. การมีอุปกรณ์ดีสำหรับการทำงาน
                            3. การมีค่าจ้างเงินเดือนที่ยุติธรรม
                            4. การมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
                            5. สภาพการทำงานที่ดี รวมทั้งชั่วโมง การทำงานและสถานที่ดีเหมาะสม

power point บทที่ 4 ความพึงพอใจในการทำงาน-STU

power point บทที่ 3 ประสิทธิภาพของการทำงานอุตสาหกรรม-STU

Activity 3:
               การเรียนการสอน ครูตั้งคำถามให้นักศึกษาตอบ พร้อมบรรยายในบทที่ 3 ในขณะบรรยายถ้านักศึกษาสงสัยสามารถยกมือขึ้นถามได้ตลอดเวลา ถ้าไม่มีข้อสงสัยครูกับนักศึกษาร่วมกันสรุปบทเรียนครับ

power point บทที่ 2 การประยุทต์จิตวิทยาในองค์การอุตสาหกรรม-STU

Activity : 2
              มอบหมายงานกลุ่มในบทนี้พร้อม present หน้าชั้นเรียนโดยทั่วแทนหรือทุกคนในกลุ่ม
             มีการซักถามเนื้อหาที่สงสัยทั้งสองฝ่าย รวมทั้งอาจารย์ด้วย แล้วร่วมกันสรุป

power point บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวจิตวิทยาอุตสาหกรรม-STU

Activity :1
            อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
               -การบรรยาย
              - การเรียนการสอนที่ผู้เรียนมีส่วนโดยให้ผู้เรียนได้ศึกษาจากเอกสาร  ตำรา วารสาร รวมทั้วแสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่กำหนด

      
ประโยชน์ของการเรียนจิตวิทยาอุตสาหกรรม
1.  ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ได้ถ่องแท้ขึ้นในเรื่องอารมณ์ ความต้องการ  และการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ
2.  ช่วยให้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
3.  ช่วยให้บุคคลสามารถวิเคราะห์และทำความเข้าใจตนเอง ได้ดีในการประกอบอาชีพอุตสาหกรรม
4.  ช่วยให้บุคคลได้เรียนรู้ถึงวิธีการหรือกลไกในการปรับตัว ตนอันจะช่วยขจัดปัญหาความขัดแย้งในจิตใจ สร้างเสริม สุขภาพจิตที่ดีแก่ตน
5.  ช่วยให้เข้าใจเหตุผลหรือปัญหาเบื้องหลัง การแสดงออกของพฤติกรรมของมนุษย์ในสภาพการณ์ต่าง ๆ
               6.  ช่วยให้รู้จักนำความรู้ทางจิตวิทยาสาขาต่างๆไปใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น เป็นนักจิตวิทยาประจำสถานศึกษา,
               องค์การ,โรงงานธุรกิจอุตสาหกรรม,นักแนะจิตวิทยาและครู  เป็นตัน                                                                                                                           

จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial   Psychology)
วัตถุประสงค์
1. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจและความเป็นมาของทฤษฎีเกี่ยวกับ  จิตวิทยาอุตสาหกรรม และมีประสิทธิภาพในการทำงาน
2.เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้มีทักษะความชำนาญเกิดความพึงพอใจ และมีเทคนิค  วิธีสื่อสารในองค์การอุตสาหกรรม
3.เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ศึกษาทรัพยากรบุคคล  และการบำรุงรักษาทรัพยากร  บุคคลในองค์การอุตสาหกรรม
4.เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้การจัดสภาพแวดล้อมในที่ทำงานและลดอุบัติเหตุได้อย่างได้อย่างถูกต้อง
5. เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้จักรักษาความปลอดภัย มีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ ต่อตนเองสังคมอย่างต่อเนื่องยิ่งๆขึ้นไปในการทำงานและการศึกษา อุตสาหกรรม



 
มารู้จักจิตวิทยาอุตสาหกรรมกันเถอะ
 ท่านทั้งหลายมักจะคุ้นกับเรื่องในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ที่เรียกว(HR: Human Resources ) แต่อาจจะไม่คุ้นกับจิตวิทยาอุตสาหกรรม หรือ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ ที่เรียกกันว่า (IO:Industrialand Organizationa Psychology ) พอเอ่ยถึงคำว่า จิตวิทยาอุตสาหกรรม เชื่อว่าหลายท่านคงจะเข้าใจและนึกไปถึงเรื่องการบำบัดจิต โรงพยาบาลของคนจิตไม่ปกติ อะไรประมาณนั้น จิตวิทยาอุตสาหกรรม นั้น เป็นศาสาตร์แขนงหนึ่งของจิตวิทยาที่ถูกประยุกต์ขึ้นมาเรียนรู้เรื่องของการจัดการพฤติกรรมมนุษย์ในองค์การ ซึ่งใกล้เคียงกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ที่ต้องจัดการกับคนเหมือนกัน .... 

ความหมายของวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรม     
   จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์ในงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการนำความรู้เรื่องพฤติกรรมของมนุษย์ไปใช้ในกิจกรรมทางอุตสาหกรรม เกี่ยวกับพฤติกรรมในการจัดการและการวางแผนงาน อุตสาหกรรมการผลิต
   การโฆษณาสื่อสาร การจำหน่าย การบริโภค และการบริการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในการดำเนินงานอุตสาหกรรม ทั้งผู้ผลิต และผู้บริโภค เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการนำทฤษฎีและหลักการทางจิตวิทยาไปช่วยพัฒนาและแก้ปัญหาด้านพฤติกรรมของมนุษย์ที่ดำเนินงานอุตสาหกรรม ทั้งด้านการสร้างสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติงานและการวางตนตามบทบาทหน้าที่ในหน่วยงาน    
         
ขอบข่ายของจิตวิทยาอุตสาหกรรม
          จิตวิทยาอุตสาหกรรมเป็นสาขาวิชาทางจิตวิทยาที่มีการศึกษาครอบคลุมถึงการผลิตและการใช้สินค้า รวมทั้งการจัดบริการในการวงการเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และการจัดการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ โดยภาพรวมแล้วจะมุ่งศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ของงานอุตสาหกรรมทุกประเภทและทุกระดับ ผลจากการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับงานอุตสาหกรรมเหล่านี้ จะถูกนำไปใช้เพื่อส่งเสริมกระบวนการผลิตด้านอุตสาหกรรมและนำไปใช้ประกอบการแก้ไขปัญหาของงานอุตสาหกรรมที่อาจต้องใช้ข้อมูลความรู้ของศาสตร์สาขาอื่นด้วย เช่น การแก้ไขปัญหาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ด้านการสื่อสาร ด้านสถาปัตยกรรม ด้านการออกแบบเครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ